(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 5 "ยินดีที่พบ แม้ยังไม่รู้จัก" | บทความ

บทความ


(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 5 "ยินดีที่พบ แม้ยังไม่รู้จัก"

Blog Single

ตอนที่ 5

ยินดีที่พบ แม้ยังไม่รู้จัก

       พระจันทร์กลมโต สัญลักษณ์ของคืนเดือนเพ็ญ คืนนี้เป็นวันพระ แม้ว่าจะไม่ใช่วันพระใหญ่ แต่ครอบครัวของผมก็มักจะมาสวดมนต์นั่งสมาธิร่วมกันที่ห้องพระทุกครั้งเพื่ออุทิศผลบุญแก่บรรพบุรุษ เทวดาประจำกาย คู่กรรมคู่เวรและวิญญาณสัมภเวสี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผมที่ตอนนี้ต้องมารับหน้าที่ผู้พิทักษ์ฝึกหัด คอยปัดเป่าฝันร้าย ปราบภูตผี ช่วยเหล่าเพื่อนมนุษย์ให้นอนหลับฝันดี


                "ยะหยั๋งอยู่ หื้อฟั่งเข้านอนโวยๆเต๊อะสินทราย วันนี่เป๋นวันปล่อยผีเน้อ” พ่อเร่งผมให้รีบเข้านอน 

          “ป้อก็ดาย ฮู้ทั้งฮู้ ว่าลูกมันกลั๋ว ก็ยังจะอู้ทักลูกมันแหม” คนเป็นแม่ส่ายหัว อมยิ้ม พร้อมเดินเข้ามาในห้องนอนของผมแล้วลูบหลังผมเบาๆ เอาจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงขอไปนอนกับพ่อกับแม่แล้ว แต่เมื่อผมได้รู้จักกับเทวาพิทักษ์ของผมอย่าง นรุตม์ ความกลัวผีก็ลดลงไปเยอะ แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องรีบเข้านอน ไม่ใช่เพราะกลัวผีหรอกนะ แม้ใจลึกๆจะยังกลัวอยู่ก็เถอะ แต่เป็นเพราะใกล้จะถึงเวลาออกทำภารกิจผู้ของพิทักษ์ฝึกหัดกับนรุตม์แล้วต่างหาก

          “กำลังนึกถึงอยู่พอดีเลย” แค่หัวถึงหมอนไม่กี่อึดใจ กายละเอียดของผมก็ลุกถอดจากร่างที่นอนนิ่ง ปรากฏอยู่ตรงปลายเตียง และนรุตม์ก็นั่งอยู่ริมระเบียงห้อง

          “วันนี้เราต้องเดินทางไกลกันหน่อย” นรุตม์ยื่นแผนที่โปร่งใส รูปร่างคล้ายแท๊บเล็ต ปรากฏจุดกลมๆ สีแดง

          “ที่นี่ คืนนี้เราจะไปกรุงเทพ” นรุตม์ชี้ไปที่จุดแดงนั่น ทำผมอึ้งดีใจใหญ่

“กรุงเทพหรอ?!” ผมรู้สึกตื่นเต้นะ เพราะเมื่อคืนก็เพิ่งแว๊ปไปกรุงเทพมา ยังไม่ทันได้เที่ยวเตร่แวะชมไหนเลย เอาจริงๆนะ ผมไม่ได้ไปไหนเลย นอกจากอยู่บนดอยแล้วก็ในจังหวัดเชียงใหม่ พอนึกถึงกรุงเทพขึ้นมาก็อยากไปมากๆ เคยดูแต่ในโลกโซเชียลที่รีวิวถึงความศิวิไลซ์ในเมืองกรุง

“ดูสิ ดูเจ้าทำหน้า ตื่นเต้นขนาดนั้นเชียวรึ ไม่ใช่อยากไปเพราะอยากไปเจอใครเป็นพิเศษหรือเปล่า”

          นรุตม์แซวผมเป็นด้วยนะเดี๋ยวนี้ สำนวนภาษาก็เริ่มใกล้เคียงกับมนุษย์ไปเยอะ หนอยๆๆ ทำมาเป็นรู้ดี ว่าแต่ ผมอยากไปเจอใคร ทุกครั้งที่ไปก็เจอแต่ผี ไม่ก็ภูตราตรี นึกแล้วก็ขนลุก บรึ๊ยยย

เอาล่ะ คืนนี้ เด็กผู้หญิง อายุ 10 ขวบ นอนฝันร้าย หลังจากพลัดตกน้ำตอนไปเล่นน้ำคลองต่างจังหวัด

          “ตึ๊ง” นรุตม์กดปุ่มด้านล่างของจอ เกิดเป็นภาพโฮโลแกรมฉายประวัติของเด็กคนนี้ ซึ่งเดิมทีก็มีเทวาพิทักษ์สายยักษ์ ซึ่งตอนนี้ได้หายตัวไป ทำให้เด็กคนนี้มีผีพรายตามติดมา เมื่อเทวาพิทักษ์ประจำกายไม่สามารถปกป้องได้ ผีร้ายย่อมเข้ามารุกราน เด็กคนนี้แต่เดิมมีนิสัยเอาแต่ใจ ไม่ชอบสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ จึงทำให้ผลบุญเดิมลดทอนลงไป นับวันผีพรายก็มีอำนาจควบคุมเด็กคนนี้มากยิ่งขึ้น

          “แล้วทำไม เด็กคนนี้ถึงมาอยู่ในลิสต์ของการช่วยเหลือล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย

          “ก็นักเวทย์จากหิมวาลดน้อยลง นับตั้งแต่เทวาพิทักษ์สายยักษ์ถูกจับ ตอนนี้ตระกูลอื่นที่เหลือก็ต้องรับหน้าที่กันไปก่อน ไม่งั้นมีหวัง ภูตผีปีศาจสูบรังควานฝัน สิงสู่ สูบวิญญาณจนมีพลังแกร่งกล้าเกินจะต้านทานแน่”

          ผมฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ “อืมมม ดีเนอะ ใครขาดคนดูแล ท่านนรุตม์นี่ก็อาสาช่วยไปหมดเลย”

          “นี่เจ้า อย่าคิดว่าข้ายุ่งเรื่องคนอื่นนะ สภานักเวทย์ มีสมาชิกของผู้พิทักษ์สายวิทยาธรมากที่สุด และสายคนธรรพ์ก็มีไม่น้อย ข้าน่ะ ไม่ยอมให้ตระกูลคนธรรพ์ถูกมองว่าไร้ความสามารถไปได้หรอก”

          ที่แท้ก็ทำหน้าที่บุตรชายของผู้นำตระกูลที่แสนดี เป็นลูกของเจ้าปกครองนครคนธรรพ์ก็งี้สินะ ภาระเยอะ  

อีกอย่าง พ่อกับแม่ของเขาทำบุญวันเกิดให้ลูกสาว”  “ไถ่ชีวิตโค-กระบือ 2 คู่ ให้พ้นจากโรงฆ่าสัตว์ การให้ชีวิต นับว่าเป็นบุญใหญ่จริงๆ คนทำบุญทั้งทีเทวาพิทักษ์จะเพิกเฉยไม่ได้ ต้องลงรักษา” นรุตม์อธิบาย

           “โอเค ป่ะ ไปกันได้แล้วครับ ท่านนรุตม์” ผมลุกขึ้นยืน และพร้อมเดินทางแล้ว แต่นรุตม์เอาแต่ยิ้ม

          “วันนี้ เจ้าต้องไปเพียงลำพังนะ เพราะข้าจะไปทำหน้าที่เข้าฝันมนุษย์อีกที่ ไม่ไกลจากที่เจ้าไปนักหรอก”

          ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าต้องหายตัวเดินทางคนเดียว โดยเฉพาะครั้งแรก จึงโวยวายเล็กน้อย

“เดี๋ยวๆๆๆก่อน ไกลขนาดนี้ ออกไปนอกดอยนี่ยังหลงเลย จะไปได้ยังไง”

“เจ้าลองหลับตาลง ทำใจสบายๆ นึกถึงดวงจิตของเด็กที่เจ้าจะไปหา เวลาผู้พิทักษ์อย่างเราจะไปหาใคร แค่นึกถึงเขาด้วยใจนิ่งๆ สักพักเจ้าจะเห็นแสงสว่างของจิตที่ปลายทาง มันจะนำทางเจ้าไป”

          “แต่เจ้าต้องจำไว้นะ เมื่อเด็กหลับฝันดีแล้ว ต้องรีบกลับทันที อย่าได้เที่ยวเล่นเด็ดขาด” นรุตม์กำชับ

          “ครับ” ผมรับคำอย่างเชื่อฟังที่สุดเลย

          “ถ้าในหนึ่งก้านธูป ผมยังไม่กลับมา นรุตม์ไปช่วยผมด้วยนะ” นรุตม์ยิ้มรับเบาๆ และไม่เพียงกี่อึดใจ ผมก็หายตัววับจากบ้านไร่สตรอเบอรี่บนดอยมายืนตัวตรงแบบงงๆบนดาดฟ้าคอนโดแห่งหนึ่ง เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะอยู่ย่านใจกลางเมือง แสงไฟจากอาคารที่พักอาศัย รถยนต์ตามท้องถนน และเสียงที่จอแจของคนที่ยังสัญจรไปมา ที่นี่แหละกรุงเทพมหานครในยามค่ำคืน

          “อ่า แล้วห้องของหนูน้อยนั่นอยู่ไหนล่ะเนี่ย” ผมหยิบไอแพดวิเศษที่นรุตม์ให้ติดมือมาเพื่อดูข้อมูลของเด็กหญิง เริ่มไม่แน่ใจละ มองซ้ายที ขวาที เห็นประตูสีขาวเปิดแง้มๆ อยู่ที่มุมสุดของดาดฟ้า ผมก็รีบวิ่งไป ค่อยๆมองหาเลขห้องของเด็กน้อย ผมเดินตามแต่ละชั้นไล่จากชั้นบนสุดคือชั้น 10 เดินลงมาอีกประมาณ 2 ชั้นก็เจอห้องของเด็กน้อย   เป้าหมายภารกิจพิทักษ์ฝันในวันนี้

          “ห้องนี้สินะ 809” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเคาะประตูตามปกติวิสัยทั่วไป แต่ก็วืด

“วืดดด!!แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมมาที่นี่ด้วยกายละเอียดนี่นา ร่างที่โปร่งแสงแบบนี้จับต้องวัตถุไม่ได้ และก็ไม่มีมนุษย์ที่ไหนมองเห็นผมอีกด้วย หลงเดินเหมือนมนุษย์ปกติอยู่ตั้งนาน การปฏิบัติภารกิจคนเดียวครั้งแรกนี่ เล่นเอาสติและสมาธิผมหลุดบ่อยเหมือนกันนะเนี่ย ผมเดินผ่านเข้าประตู

ในห้องนอนตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีชมพูพาสเทล มีลายดอกไม้เล็กๆ คล้ายดอกเดซี่ ตุ๊กตาหน้าตาน่ารัก มีทั้งน้องหมี หนูน้อยกำลังนอนหลับบนเตียงนุ่มๆ นอนขดตัวอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม เบื้องหน้าคือเด็กหญิงที่กำลังหลับอยู่ในห้วงของนิทรา ผมยืนครุ่นคิดอยู่สักพัก ว่าผีร้ายที่ว่ายังไม่มา หรือว่ามันได้เข้าไปในฝันของเด็กหญิงแล้ว เอาแบบนี้แล้วกัน ใช้มนต์ควบคุมจิต ดลใจให้เด็กหญิงน้อยฝันดี หลับลึก

“คืนนี้ฝันดี เรื่องอะไรดีนะ เห็นมีตุ๊กตาหมีเต็มเลย ให้ฝันเห็นว่านอนอยู่ในอ้อมกอดพี่หมีดีไหม”

กายละเอียดของสินทรายกำลังมองไปรอบ ๆ ห้องเก็บข้อมูลว่าเด็กหญิงคนนี้ ชื่นชอบอะไร เพราะเป็น 1 ในกลยุทธ์สำคัญของภารกิจดลจิตคือ ให้เจ้าตัวหลับง่าย หลับนาน ก็ต้องให้เขาหลับท่ามกลางความฝันที่เขาชื่นชอบ สิ่งที่สองคือการให้เจ้าตัวได้ฝันเห็นในสิ่งที่ตนปราถนาจะทำให้เขาหลับอย่างมีความสุข ตื่นขึ้นมาด้วยพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยม และสิ่งสุดท้ายเลย คือการหลับแบบสมองได้พักอย่างเต็มที่ ไม่ต้องคิด หรือต้องฝันเห็นอะไร การนอนหลับแบบนี้ ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะได้พักทั้งสมอง และร่างกาย

“ให้นอนนิ่งๆหลับสนิทละกัน.... แต่ เอ๋....ไม่ๆๆ ไม่ดีกว่า คงน่าเบื่อสำหรับเด็กวัย 10 ขวบที่ช่างฝันสินะ”

“.....ZZzzz

ผมพิจารณาใกล้ๆ ขณะเด็กหญิงกำลังหลับ ถึงรู้ว่าในความหนานุ่มของฟูกที่นอน หรือผ้าห่มนั้นไม่สามารถทำให้หนูน้อยนอนหลับได้เต็มที่ นิ้วมือเล็กๆ ป้อมๆ จิกกำชายผ้าไว้แน่น รอยย่นที่หัวคิ้วถูกขมวดเข้าหากันตลอดเวลา เสียงลมหายใจที่สั้นและถี่ เม็ดเหงื่อผุดที่หน้าผาก ทั้งๆ ที่อุณหภูมิในห้องกำลังเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ

“หนูน้อยกำลังหวาดกลัวสินะ” เพลงวิญญาณรำเพยถูกเลือกมาบรรเลงกล่อมดวงจิตของเด็กน้อยคนนี้ ด้วยซึงเครื่องสายประจำตัว ใช่แล้วผมกำลังพิทักษ์ความฝันของเด็กคนนี้ พอผมเข้าไปในฝันของเธอ ภาพความฝันของเธอช่างมืดมิด เยือกเย็น ผมเห็นหนูน้อยยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางถ้ำมืด เสียงหยดน้ำจากหินงอกหินย้อยหยดลงกระทบพื้นหินดังเปาะ แปะ เปาะ แปะ ทำให้เด็กน้อยคนนี้หวาดกลัว สายตาสอดส่องหาพ่อแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ ในฝันเธอร้องเรียกหาคนทั้งสอง แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับมา กลิ่นชื้นที่หมักหมมของขี้ตะไคร่น้ำในถ้ำลอยตลบอบอวล ทำให้หายใจลำบาก เบื้องหน้าคือหนองน้ำที่เธอหวาดกลัว ผมจะต้องเปลี่ยนภาพความฝันของหนูน้อยคนนี้ให้ได้ ผมดีดซึงเล่นเพลงวิญญาณรำเพยในจังหวะเบาๆ สะบัดปลายนิ้วเบาๆ ให้ความรู้สึกคล้ายสายลมอ่อนๆ ที่กำลังพัดผ่านทุ่งหญ้าที่เขียวขจี จากนั้นเพิ่มความหนักอีกเล็กน้อย และเร่งทำนองให้เร็วขึ้น เพิ่มความสดใสจากแสงแดด สีสันสวยงามจากดอกไม้นานาพรรณ หมู่มวลดอกไม้ที่พริ้วไหว ถูกสายลมพัดพากลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นเข้าสู่ภาพความฝัน แทนที่ภาพหนอง คลอง บึงที่หม่นหมองน่ากลัว เสียงดนตรีนำทางหนูน้อยให้พบความสว่าง

 ผมยังคงดีดเพลงบทนี้อย่างต่อเนื่อง รอยยิ้มของเด็กน้อยปรากฏขึ้นแทนคราบน้ำตาจากความหวาดกลัว ในฝันของเธอผมสร้างภาพจำลองพ่อกับแม่ของเธอขึ้นมา ทั้งสองโอบกอดเธอด้วยความรัก ความอบอุ่นที่มีให้ หนูน้อยรู้สึกดีใจ ปลอดภัย และตอนนี้เธอกำลังหลับฝันดี ใช่แล้วเธอกำลังนอนกอดตุ๊กตาน้องหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ รอยยิ้มแห่งฝันดียังคงปรากฏ นอกจากเสียงบรรเลงของซึงแล้ว ผมคิดว่าหนูน้อยน่าจะชอบตุ๊กตา ดังนั้นการที่ได้กอดตุ๊กตาที่โปรดปรานในยามหลับใหล น่าจะเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวดวงจิตในยามนี้ดีที่สุด

 

สินทรายกำลังเข้าฝันเด็กหญิงอย่างไม่ทันระวัง โดยเฉพาะว่าคืนนี้เป็นกรณีอาการประหลาด ไม่ใช่ฝันร้ายธรรมดา แต่เป็นฝันจากผีพรายในคลองที่ตามมาหลอกหลอน ซึ่งขณะที่สินทรายกำลังออกจากฝันของเธอ ก็มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นในห้อง

 

“สวบ สวบ สวบ!!!” สินทรายได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง จึงหยุดบรรเลงเพลง ปล่อยให้เด็กหญิงหลับไปในห้วงนิทรา สินทรายเริ่มกังวลใจ เขามองไปรอบห้อง เห็นชายผ้าม่านที่หน้าต่างแกว่งไปมาเล็กน้อย

          “พึ่บ!!!” เสียงเหมือนประตูอะไรบางอย่างปิดลง

ผมรีบหันไปมองที่ประตูห้อง กวาดตามองไปยังประตูตู้เสื้อผ้า ไม่มีอะไรผิดปกติ  ใจชักไม่สู้ดีเท่าไหร่แล้ว แม้ว่าผมจะผ่านภูตราตรีมาหลายครั้ง และทุกครั้งผมมีนุตม์อยู่ด้วยเสมอ แต่ครั้งนี้ผมอยู่ตัวคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบมากๆ จะเอายังไงดี จะตามต่อ หรือกลับบ้านไปหานรุตม์ดีนะ

          “ครืดดดด คราดดดด!!!”

          “ครืดดดด คราดดดด!!!”

           ครั้งนี้เสียงเหมือนมีตัวอะไรคลานอยู่ที่พื้น สายตาผมมองต่ำทั่วพื้นห้องในทันที ผมคงต้องตามต่อ หากปล่อยทิ้งเอาไว้ เสียงประหลาดนั่นอาจจะเป็นเจ้าผีพราย อาจเกิดอันตรายกับเด็กได้ ผมแข็งใจ รวบรวมความกล้าก้มต่ำ คลานไปตามพื้นห้อง เพื่อหาต้นตอของเสียงแปลกๆ ไม่มีอะไรอยู่ใต้โต๊ะ ใต้ตู้ จะมีอีกหนึ่งที่ ที่ผมยังไม่ได้ดู นั่นคือ ใต้เตียง!

          “เห้ยยยยยยยยย!!!!” ผมร้องเสียงหลง ด้วยความกลัว และตกใจสุดขีด ใบหน้าซีดเทา ดวงตาขาวโพลน เส้นเลือกฝอยแตกแขนงเต็มตาขาว ผมยาวชุ่มน้ำลากดินแผ่กระจายเปียกชื้นบนพรม ขี้ตะไคล่น้ำเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ปลายนิ้วมือที่มีแค่หนังหุ้มกระดูกโปนๆ ยื่นออกมาแตะที่ปลายจมูกผม ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่าน กลิ่นอับชื้นคละคลุ้งอยู่เต็มโพรงจมูก

          “นี่มัน…ผีพรา!!! อ๊ากกก” ผมรีบดีดตัวคลานถอยหลังร่นมาจนติดนัง และลุกขึ้นตั้งสติ รวบรวมความกล้า แต่ขาทั้งสองข้างมันไม่รอให้ใจสงบ มันรีบใส่เกียร์หมาวิ่งหนีทันที ในใจก็นึกถึงบทเพลงทำนองที่จะใช้เอาบทไหนดี ผมต้องตั้งหลัก เพื่อตั้งสติ แต่ตอนนี้ความกลัวผีมันทะลุทะลวงเพดานมาก มันเจอจังๆ เกินไป ตั้งตัวไม่ทัน

         

          ผมวิ่งทะลุกำแพงออกจากห้องเด็กคนนั้น พบเป็นทางเดินระเบียงของคอนโด ที่เยื้องๆกันมีลิฟต์ และบันไดอยู่ข้าง ๆ “ตายแล้ววว งานนี้ เสียฟอร์มต่อหน้าผี ให้ผีรู้หมดว่าเรากลัว” ผมวิ่งไปตามทางเดินพร้อมกับบ่นพรึมพรำ

          และไม่ต้องกลัวว่าผีมันจะไม่รู้ว่าผมกลัว มันคงแน่ใจล้านเปอร์เซ็นแล้วว่าผม โคตรรรร กลัว!! เพราะผีพรายผมยาวลากดินนั่น ทะลุกำแพงออกมาเช่นกันพร้อมส่งเสียงร้องตระโกนโหยหวนไล่หลังผมมาติดๆ

“...........กรี๊ดดดดด!!!” “กูจะให้มึงเป็นตัวตายตัวแทนของกู เฝ้าหนองน้ำนั่น แทนกู”

ผมหันหลังกลับไปดู ผีบ้านั่นมันอ้าปากกว้างปานจะสูบกินวิญญาณผมให้ได้ในวันนี้ ด้านหลังของผมจนมุมติดกับประตูลิฟต์ ความกลัวจนหัวหด ทำให้ผมเลือกวิ่งลงบันไดที่อยู่ด้านข้าง

“...........กรี๊ดดดดด!!!

สินทรายลืมตัวว่าในขณะนี้เขาเป็นกายละเอียด เขาสามารถตั้งสติดึงจิตกลับเข้าร่างที่เชียงใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้เขานึกไม่ออก เขาจึงเลือกวิ่งลงบันไดตามความคุ้นเคยของวิถีมนุษย์เดินดิน ฝ่ายผีร้ายเห็นแบบนั้นจึงใช้กายละเอียดของตน แทรกพื้นเพดานผนังจากชั้นบน ลงมาด้านล่าง ประจันหน้ากับสินทรายที่เพิ่งวิ่งลงมาทางบันไดพอดี

“...........กรี๊ดดดดด!!! ฮ่าๆๆๆๆๆ”

สินทรายวิ่งลงไปอีกชั้น ผีพรายก็หัวเราะดังลั่น ใช้กายละเอียดแทรกลงพื้นอาคารโผล่ตรงหน้าเขาอีกทีอย่างกับในหนังผี แต่คราวนี้เพิ่มเติมความเฮี้ยนคือ กรีดเสียงร้อง ชูมือขึ้นหมายจะบีบคอดังลั่น

“...........กรี๊ดดดดด!! กูจะสิงร่างมึง!

เสียงแหลมๆของผีพรายน้ำดังขึ้น

ผมได้ยินเข้าก็สติหลุดกระเจิง วิ่งหนีลงบันไดไปอีก 1 ชั้น

“เมื่อกี้อยู่ชั้น 8 นี่หว่า วิ่งลงมาแล้ว 3 ชั้น ก็คงถึงชั้นที่ 5 สินะ”

ว่าแล้วก็หยิบนิ้วขึ้นมานับ 8-3 เท่ากับ 5 ด้วยความไม่มั่นใจว่าเหลืออีกกี่ชั้น เพราะกลัวแถมวิ่งเหนื่อยหอบ แล้วก็บ่นว่า

“นี่เราจะวิ่งลงไปอีกกี่ชั้น แต่เอ๊ะ ไม่หอบไม่เหนื่อยเลยแหะ” พอได้สติกลับมาว่าตนเองเป็นกายละเอียด ก็ตั้งสติ ประจวบเหมาะพอดีกับเสียงลิฟต์ที่ดังขึ้น ณ ชั้นที่เขายืนอยู่

“ติ๊ง! ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นนี้พอดี สินทรายหันหลังวิ่งกลับไปตามเสียงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาเกิน 8 ก้าว

เขาหยุดชะงักคิดสักครู่ว่า หากเจอผีในลิฟต์นี่คงน่ากลัวมาก ๆ เลยสินะ จากการดูหนังผี

เพราะถ้าเกิดมันเอาผมยาวๆพันลิฟต์ตกล่ะทำยังไง หรือจู่ๆมันมาโผล่ในลิฟต์ที่แคบๆล่ะจะหนีไปไหน แต่ก็ดึงสติกลับมาได้ เราเป็นกายละเอียดเว้ย ไม่มีใครมองเห็น เราทะลุประตู กำแพง หรือลิฟต์ได้ วิ่งเข้าไปเถอะหน่า อย่างน้อยก็น่าจะมีคน หรือมีใครที่คล้องพระอยู่บ้าง

ขณะประตูลิฟต์กำลังค่อยๆเปิด ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้าฮึดใหญ่แล้วค่อยๆก้าวขาเดินหน้าอย่างช้าๆ ชะโงกหน้ามองเข้าไป ในใจคิดว่าผีพรายอาจจะยืนรออยู่ในมุมอับสักที่ หรืออาจจะห้อยหัวลงจากเพดานลิฟต์ลงมาก็ได้

แต่ไม่ทันได้ฟุ้งซ่านไปไกลเขาก็เห็นร่างของเด็กหนุ่มคนนึง เขายืนอยู่ตรงบริเวณที่กดปุ่มขึ้นลง กำลังดูดน้ำจากหลอดซึ่งในมือนั้นถือน้ำอัดลมกระป๋องสีแดงที่มีไอน้ำแข็งเกาะ ท่าทางจะเย็นชื่นใจ ดูดดื่มสบายใจเชียวนะ รู้มั้ยว่าคอนโดที่แกอาศัยอยู่ มีผี!!! สินทรายรู้สึกเบาและโล่งใจขึ้น

ในลิฟต์มีพื้นที่ว่างพอดีให้ผมเข้าไปยืนในลิฟต์ได้

สินทรายลังเลกลัวที่แคบในเวลานี้ นับว่าเป็นครั้งแรกของการถอดจิตแล้วมาขึ้นลิฟต์ของเขา แต่คิดไม่ได้นานเพราะเขามองหลังเห็นเป็นเงาดำๆวิ่งกระโจนเข้ามาพอดี เขาจึงตัดสินใจได้ง่ายๆ รีบพรวดพราดวิ่งเข้าลิฟต์ ไปยืนข้างๆกายของชายหนุ่มที่ใส่ชุดนักเรียนคนนั้นทันที

“อ๊ากก!!! อร๊ายยย!!!! เสียงกรีดร้องแหลมแสบหูของผีพรายสาวที่ผมยาวลากดิน ประจันหน้ากับมนุษย์คนนี้ ที่น่าจะคล้องพระหรือมีของดีบางอย่างทำให้ผีสาวหวาดกลัวแล้วหายไป

เด็กหนุ่มคนนี้ผิวเข้ม ร่างกายกำยำสูงใหญ่หุ่นนักกีฬา ฝ่ามือใหญ่อย่างกับนักมวย มีเส้นเลือดชัดที่แขน หน้าเข้ม คิ้วเข้มดก ริมฝีปากอวบอิ่ม หน้านิ่งๆดูดุดัน มองแล้วรู้สึกยำเกรง แต่ เอ๊ะ ทำไมหน้าคุ้นๆจัง ครุ่นคิดในใจ

“เคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ อ๋อออ นี่มัน บดินทร์ นี่ ที่เพิ่งเจอเมื่อวาน แต่เอ๊ ทำไมเจออีกแล้ว กรุงเทพนี่ไม่กว้างเลยแหะ หรือว่าจะบังเอิญเกินไปไหม” สินทรายคิดอยู่ในใจสักพัก ก็ได้คำตอบ นี่คือเด็กหนุ่มที่เขากับนรุตม์เพิ่งได้ช่วยชีวิตไว้จากการถูกนักเวทย์ปีศาจมาโจมตีเมื่อคืนก่อน ซึ่งเพิ่งย้ายที่พักใหม่ จากร้านอาหารมาอาศัยที่คอนโดนี่เอง บดินทร์ยังคงยืนนิ่งอยู่โดยไม่รู้ว่าตนเองได้ช่วยสินทรายจากผีพรายโดยไม่รู้ตัว

“ลูกประคำที่ข้อมือนั่น คงทำให้ผีพรายกลัวหัวหดเลยสินะ....ว่าแต่เราจะมาคิดในใจทำไม ยังไงมนุษย์ก็ไม่ได้ยินเสียงเราอยู่แล้วนิ” ด้วยความที่สินทรายอยู่ในร่างของกายละเอียดที่ตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็น จึงได้โอกาสยืนหันหน้าเข้าหาบดินทร์ แล้วเอียงคอมองแบบชัดๆ แล้วเผลอปริปากพูดเสียงดัง

“ใบหน้าแบบนี้แถวภาคเหนือก็ไม่เคยเห็นเลยนะ แปลกตาดี”

“คนกรุงเทพหน้าตาแบบนี้เลยหรอเนี่ย” สินทรายพูดไปพร้อมกับมองหน้าหนุ่มคิ้วเข้มอย่างสนใจ

“ผมเป็นคนขอนแก่นครับ มาทำงานที่กรุงเทพเฉยๆ” ชายหนุ่มในลิฟต์ตอบเขาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

“... !!!!!!!!

อะไรนะ! ทำไมคนนี้ถึงมองเห็นเราได้ละ

ผมคิดในใจ ทำตัวเลิ่กลั่ก ดวงตาที่กลมดำใสซื่อออกตี๋ ๆ เล็กน้อย เบิกโพรงตกใจ เขาหันซ้ายหันขวาให้แน่ใจว่า ชายคนนี้ไม่ได้คุยกับคนอื่น หรือคุยโทรศัพท์ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ เขาคุยกับเราแน่ ๆ ตายแล้วทำไงเนี่ย ไปยืนมองเขาขนาดนั้น แถมชมว่าหล่ออีกต่างหาก จะเอาหน้าไปแทรกแผ่นดินหนีอายที่ไหน

“ไปชั้นไหนครับ” บดินทร์ถามสินทรายด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่มีพลัง แล้วหันหน้ามามองตาเขาเป็นครั้งแรก เขามีขนตาที่เรียงหน้าทำให้ดูเข้มและชวนมองมาก ๆ แต่เดี๋ยวอย่าเพิ่งมองสิ

ตอนนี้ต้องหาทางไปก่อน คือเอาไงดี

จะบอกว่าไม่ไปชั้นไหนสักที่ก็ไม่ได้เพราะเผลอไปเจอผีพรายอีกทำไง

หรือจะหายตัวแว๊ปกลับเข้าร่างตอนนี้ก็กลัวเขาตกใจ งั้นตอบแบบนี้แล้วกัน

“ไปชั้นเดียวกันกับนายเลยก็ได้” โถ่ววว สินทราย ตอบอะไรของนายไปว่ะเนี่ยยย!!

บดินทร์กดลิฟต์ชั้น 8  ซึ่งเป็นลิฟต์ชั้นเดียวกับที่ผมเพิ่งวิ่งลงมาเมื่อกี้ คือชั้นของเด็กหญิง 10 ขวบผู้ฝันร้ายจากผีพราย ตายแล้วๆๆ ทำไงดี ทำไงดี นี่อุตส่าห์วิ่งหนีลงมายังจะขึ้นไปอีก ตอนนี้อยู่ไม่สุขเลยเรา

“ติ๊ง! เสียงลิฟต์บอกสัญญาณว่าถึงชั้นที่ 8 ชายคนนั้นเดินออกจากลิฟต์แบบไม่ได้สนใจอะไรเขา ตามประสาคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน แค่ช่วยกดลิฟต์ให้เท่านั้น

ผมยืนอยู่ข้างหลังค่อย ๆ มองชะเง้อตาม ชะโงกหน้าออกมาช้า ๆ เผื่อว่าจะเจอผีพรายลมยาวลากดินตัวเดิมอีกจะได้หนีทัน แต่คำพูดประโยคที่ 3 ซึ่งชายหนุ่มวัยรุ่นราวเดียวกับสินทราย ก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า

“ชุดที่ใส่ เซ็กซี่ดีนะครับ” ผมรีบก้มมองดูชุดกางเกงทรงโจงกระเบน กับผ้าคลุมตัวสีเขียว 1 ผืนพาดผ่านราวนม ซึ่งบ่งบอกคำว่าเซ็กซี่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผ้าที่พาดผ่านมันมีผืนเดียวบนเนื้อตัวที่ไม่ได้ใส่เสื้อ อันเป็นชุดของนักเวทย์ผู้พิทักษ์ที่ชาวคนธรรพ์สวมใส่ มักเป็นสไตล์น้อยชิ้นตามประสาของชาวเมืองหิมวาที่ไม่ยึดติดอาภรณ์เครื่องนุ่งห่ม แต่มันก็ทำให้ดูวับ ๆ แวม ๆ เซ็กซี่อย่างที่เขาว่า

“...” ผมทำหน้าตาเลิ่กลั่กเกาหัวโดยที่ไม่คัน พร้อมกับจำใบหน้าคมสันจมูกโด่งคิ้วเข้มของชายคนนี้ได้แม่น ก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องไปพร้อมกับเห็นประตูหน้าห้องที่แขวนป้ายเลขห้องว่า 808 ซึ่งก็คือห้องที่อยู่ข้างๆกับห้องเด็กหญิงฝันร้าย นั่นเอง

หมดเวลาสำหรับภารกิจนี้ อย่างน้อยก็น่าจะกล่อมให้เด็กได้ฝันดีถึงเช้า ขอกลับบ้านเข้าร่างตั้งหลักก่อน พอกำหนดจิตนึกถึงปลายทางของร่างที่นอนอยู่ ในเขตแดนอันคุ้นเคยที่เชียงใหม่ กายละเอียดของสินทรายก็หายไป

สินทรายไม่รู้ว่าเมื่อบดินทร์เข้าห้องพักไปแล้ว เขากำลังแอบดูที่รูช่องประตู เพราะห้องของเขาอยู่เยื้องระหว่างลิฟต์พอดี จึงส่องด้วยตาผ่านรูของประตูก็เห็นหน้าลิฟต์ได้ บดินทร์สงสัยว่าทำไมลิฟต์ไม่ปิดสักที จึงเปิดประตูออกไปดู

“แอ่กกก” เสียงเปิดประตูห้อง 808 แง้มออกมาดูว่าคนที่มากับเขาบนลิฟต์อยู่ห้องไหนบนชั้น 8 แต่แล้วก็กลับไม่เห็นใครเลย บดินทร์จึงรีบวิ่งไปที่หน้าลิฟต์ซึ่งยังเปิดอยู่ ด้วยเพราะยังไม่มีใครกดลิฟต์ให้ปิดหรือไปรับคนที่ชั้นอื่น เขาไม่พบใครทั้งนั้น ไร้วี่แววคนที่ยืนจ้องหน้าเขา ชายในชุดนักเรียนจึงพยายามมองซ้ายแลขวา เวลาเพียงสั้นๆที่เขาได้พบกัน แล้วก็หายตัวกะทันหัน มันคืออะไรกันแน่

“......???!!! เมื่อกี้คือผีหรอ พักนี้เจอผีบ่อยจัง แต่ทำไมไม่หลอก ถ้าหลอกจะต่อยให้”

บดินทร์บ่นอยู่คนเดียว ด้วยความสงสัยและสนใจว่าผีมาปรากฏกายให้เขาเห็นเพราะอะไร ต้องการอะไร

.

.

ณ บ้านหลังเล็ก ๆ ริมธรรมชาติที่เป็นเขา ซึ่งเบื้องหน้ามีไร่สตรอเบอรี่อยู่ สินทรายกลับเข้าร่างทันที หายใจตื่นเฮือกใหญ่ เพราะนี่ก็ใกล้หมดเวลาแล้ว จากนั้นเขาจึงหยิบสร้อยข้อเท้ามาคล้องไว้ดังเดิมเพราะกลัวว่าผีพรายจะนั่งรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่มาหลอกหลอนเขาถึงนี่

“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะผีพราย เอาไว้ฝึกวิชาให้กล้าแกร่งกว่านี้ เราค่อยเจอกัน”

“แต่ว่า....เอ่อ ...ช่วงนี้อย่าเพิ่งมาเลยนะขอร้อง ยังไม่พร้อมจริงๆ” ผมคิดแล้วก็กลัว กลัวแล้วก็ผวาตามประสา นี่เพิ่งอยู่ในช่วงฝึกงานเป็นผู้พิทักษ์ฝึกหัดเอง ยังเจอขนาดนี้เชียว

 ______________________________________________________________________________________

"อ่านจบตอนนี้แล้ว เป็นยังไงบ้าง อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ"

https://www.facebook.com/TheHIMVA



แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น