Himva Kingdom Season 1 : วุ่นนัก..รักโรลเพลย์ EP.3 นักรบสวรรค์ | บทความ

บทความ


Himva Kingdom Season 1 : วุ่นนัก..รักโรลเพลย์ EP.3 นักรบสวรรค์

Blog Single


ตอนที่ 3





นักรบสวรรค์




                หลายๆเหตุการณ์ในช่วงนี้ มันเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปอย่างมากมาย ไม่ว่าจะกิน นอน หรือตอนไปไหนมาไหน

นอกจากจะเห็นผีเร่ร่อนบ้าง ถูกชาวบ้านมองว่าบ้า ประสาทหลอนที่จู่ๆพวกเขาก็เห็นผมยืนพูดอยู่คนเดียว

ทั้งที่จริงผมยืนคุยกับพวกผีหลงทางข้างถนน ที่ยังหาทางไปผุดไปเกิดไม่เจอ

        พูดแบบนี้แล้วก็อย่าเพิ่งคิดว่าผมจะไม่กลัวผีนะ แค่ผีบางตัวเท่านั้นแหละที่ดูน่าสงสาร กับดูแล้วรูปลักษณ์การแต่งกายสะอาดก็ไม่ต่างจากคน ที่กลัวก็เพราะแยกไม่ออกน่ะสิเวลาเดินผ่านผีอยู่ข้างถนนก็ถ้าเผลอไปมองพวกเขาเข้าล่ะก็ เป็นได้จัดโต๊ะจีนเลี้ยงผียกใหญ่ เพราะผี 1 ตัวที่รู้ว่าเรามองเห็นเขาจะเดินตามเราไปถึงบ้าน แล้วบรรดาเพื่อนผีหิวโซ ก็จะเดินตามกันเป็นขบวน ยิ่งถ้าวันไหนภูมิเทวา หรือพระภูมิเจ้าที่ไม่อยู่ ก็คิดดูละกัน ว่าผมเห็นคนหิวโหยยืนโบกไม้โบกมือให้อยู่หน้าบ้าน ซึ่งผมกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารฝีมือแม่ จะอดใจไม่สงสารได้ไง ผมก็ต้องเอาอาหารตักถ้วยน้อยๆไปวางให้บรรดาผีมาสูบโอชารสไป พ่อผมเคยบอกว่า จริงๆผีมันไม่ได้หิวข้าว แต่เขาแค่ติดรสชาติ มีสัญญาความจำเก่าๆว่าหิว ไม่มีแรงก็ต้องกินข้าว แต่แท้จริงแล้ว กายละเอียดแบบผี ต้องกินบุญต่างหาก ผมก็เลยแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ไปด้วยเลย

                         

แต่ช่วงนี้ นับตั้งแต่วันเกิดครบ 18 ปีของผม

ผมก็จะรู้สึกอุ่นใจเพราะมีนรุตม์ เทวาพิทักษ์ประจำตัวคอยติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกเวลา อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นน่ะเหรอ มาผมจะเล่าให้ฟัง

.

.

ตอนนี้ผมเป็นเด็ก High School หรือมัธยมชั้น ม.6 เย้ จะจบแล้ว

แต่ว่าผมเรียนที่บ้านนะ เป็นแบบ Home School ก็มีพ่อกับแม่นี่แหละ เป็นครู อาจารย์ ผู้อำนวยการ ภารโรง แม่ครัว เป็นทุกอย่างเลย ขณะที่ผมเป็นนักเรียนคนเดียว


เวลาสอบวัดผลก็จะต้องเดินทางเข้าไปในตัวอำเภอ ซึ่งนอกจากเวลาผมไปไกลบ้านจะชอบหลงทางแล้ว ก็มักพบเจอแต่เรื่องแปลกๆน่ะสิ

แต่วันนี้เป็นวันที่ผมต้องไปสอบปลายภาคสุดท้ายกับบรรดาเพื่อนๆที่เรียนนอกระบบเหมือนกัน เสื้อนักเรียนที่ผมกำลังสวมใส่ตัวนี้ ซื้อมานานก็เหมือนของใหม่

เพราะผมใส่ปีละ 1-2 ครั้ง เองเวลามาสอบเท่านั้น


รถ 2 แถวสีแดงในตัวเมือง ขับพาผู้โดยสารนานๆทีมาใช้บริการอย่างผม มาจอดให้หน้าศูนย์การศึกษา

.

.

"เห้ยยย!!!"

.

.

"เห้ยยย!!! เรียกไม่ได้ยินหรอ" ผมเหมือนจะได้ยินเสียงคนตะโกนไล่หลังของผมมา คงไม่ใช่ผมล่ะมั้ง

“เห้ยยย ไอ่เด็กใส่ข้อเท้า โตป่านนี้แล้วยังไส่กำไลเด็กน้อยอีก”


เอาแล้วไง

นั่นแหละ พวกนักเลง เอ้ย นักเรียนเจ้าปัญหา กลุ่มเพื่อนที่ไม่สนิทตั้งแต่อนุบาล ที่พวกมันคงคิดว่าผมสนิทด้วยละมั้ง พวกมันชอบแกล้งผม


“......”

“....เห้ย!!! พูดแล้วไม่ได้ยินหรอ เดินหนีทำไม”

            

                        ผมเป็นคนรักสงบ แม้ผมจะกลัวผี แต่ถ้าเทียบกับเจอไอ่พวกอันธพานพวกนี้ ผมขอเจอผีดีกว่า อย่างน้อยวิชาคนธรรพ์ของพ่อปู่ก็สามารถจัดการได้

แต่ถ้าเลือกได้ ก็อย่าเจอพวกมันเลย


“ผัวะ!!

เสียงตบกระทบที่ท้ายทอยของผม เห้อออ เจอแบบนี้ทุกที หัวคนนะเว้ย ไม่ใช่ลูกวอลเล่ เก่งจริงเลยเวลาหมาหมู่เนี่ย

อันนี้ผมก็เก่งแต่คิดด่า คิดเถียงพวกมันในใจอ่านะ ไม่ใช่ว่าถ้าสู้กันแล้วผมจะสู้ไม่ได้หรอก แต่ผมไม่อยากมีเรื่อง ผมจะเรียนจบแล้ว


“ขอทางด้วย วันนี้จะต้องไปสอบ” ผมทำหน้านิ่ง แหงนหน้ามองพวกมันเล็กน้อย หลบสายตาบ้าง แต่เอาว่ะ พูดขอทางดีๆกับไอ่คนตัวใหญ่ ที่ยืนขวางทางผมอยู่

พร้อมกับพวกหมาหมู่อีก 2-3 คน


“อ่อ วันนี้มีสอบหรอ ได้ จะปล่อยไปสักวัน แต่....” ดูพวกมันสิ ปากบอกจะปล่อย แต่ทำไมต้องมีคำว่า แต่

พูดไม่ทันขาดคำ พวกมันขโมยดินสอ 2ที่ผมจะเอาไว้ใช้ทำข้อสอบออกจากกระเป๋าเสื้อ


"เลวจริงๆเลย ดินสอซื้อเองหน้าโรงเรียนก็มีขายนิหว่า อ๋อ...หรือแค่อยากแกล้ง แต่เผอิญเป็นคนไม่รับผิดชอบเตรียมมาด้วย โอเค๊ เข้าใจ"

ก็เอาไปเถอะ นี่ก็คือผมคิดเอง เออเองนะ ผมก็ชอบคุยกับตัวเองบ่อยๆนี่แหละ รวมถึงประโยคก่อนหน้านี้ด้วย ผมด่าพวกมันในใจ


คิดไว้แล้วแหละว่าจะต้องโดนแกล้ง ในกระเป๋าสะพายมีดินสออีกเป็น 10 แท่ง พกมาไว้ก่อน เหลือดีกว่าขาด แต่เดี๋ยว..


“จับมัน!!!” 

พวกมันจับผมล็อคแขนแล้วผลักชนกำแพงตึก จากนั้นก็ผลักผมเข้าไปในห้องน้ำ คราวนี้ไม่เอาแล้วเว้ย

นับวันยิ่งโดนแกล้งหนักเข้าทุกครั้งเลย เวลาต้องเข้ามาในเมืองเนี่ย


“เห้ยยย อย่าดิ อย่าทำผมเลย” ผมเอามือป้องกัน ปัดป้องตัวเองขอร้องไม่ให้พวกบ้านี่รุมกระทืบ ไม่อยากเจ็บตัว กลับบ้านไปเจอแม่ว่าอีกว่าไปฟัดกับหมาที่ไหน

“งั้น.....ถอดกางเกงมัน แล้วเอาไปโยนทิ้ง”

“ไม่ๆๆๆ ขอร้องละ วันนี้ผมมีสอบ ม่ายยยยยย อย่านะ อย่า!!!


ไม่ทันซะแล้วตอนนี้ผมโดนพวกมันแกล้งถอดเสื้อนักเรียนออก เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ ที่ผมพยายามดึงรั้งไว้อยู่เพราะมันพร้อมจะหลุดตามกางเกงนักเรียนไปน่ะสิ 


“เห้ยย พวกมึง พอๆ สงสารมันว่ะ ฮ่าาๆๆๆๆๆ 

เอานี่ กางเกง เอาคืนไป” หนึ่งในพวกมันโยนกางเกงนักเรียนใส่หน้าผม ผมก็รีบใส่กางเกงคืนรัดเข็มขัดแน่นกว่าเดิม แต่ไอ่พวกบ้านี่ก็ยังไม่ยอมไป
"ขอทาง"  ผมเดินไปทางที่โล่งพอจะให้ตัวเองมุดหนีออกไป แต่ก็เจอมือพวกมันขวางทางไว้

"ถอดเสื้อ" 

"ห๊ะ จะเอาอะไรอีก" ผมเริ่มโมโห

"ก็เสื้อไง บอกว่าเสื้อ หูหนวกได้ยินเป็นกระโปรงหรอ ห๊ะ มีหรอกระโปรง ทำไมไม่ใส่มา"

"ลีลาว่ะแมร่ง เอามานี่!!!" หัวโจกตัวสูงสุดมันใช้มือกระชากคอเสื้อผม แล้วฉีกแหวกจนกระดุมเสื้อที่ผมยังถอดได้ไม่ดีกระเด็นหลุดลอยออกไปต่อหน้าต่อตา


ผมเหลือเพียงร่างท่อนบนเปลือยเปล่า ผิวขาวๆของผมมีรอยแดงจ้ำๆจากการขัดขืนพวกแมร่ง


“พอใจรึยัง อยากได้ก็เอาไปดิ” ผมมองหน้าพวกมันอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนที่พวกมันจะเดินจากไป

ผมเหลือบไปเห็นกระดุมอีก 3-4 เม็ดที่กระเด้งอยู่ที่พื้น มันทำให้ผมนึกจินตนาการว่า ถ้าเอากระดุมกลิ้งไปรองใต้เท้าให้มันลื่นกันซะมั้ง


"เอ้ยยยยย!!!" "พึ่บ" เสียงก้นจ้ำเบ้าของ 2 คน ทำให้อีก 2 คนหันหน้ามาหาผมที่กำลังหัวเราะร่า เยาะเย้ยอยู่

"ไอ่สิน มึงนี่" 


"ปัง!!!!" เสียงบานประตูห้องน้ำกระทบดัง ทั้งๆที่ในนี้ไม่มีลม แล้วจู่ๆ ลูกกระจ๊อกทั้งหลายก็พากันกวักมือเรียกให้ดูบางอย่าง พวกมันพากันชี้ไปในกระจกที่พอผมหันไปมองก็ไม่เห็นมีอะไร แต่พวกมัน 4 คนพากันร้องลั่นแล้ววิ่งหนีจากห้องน้ำไปเลย


"เอาล่ะสิ ไปดีกว่า ถ้าใครมาช่วยก็ขอบคุณนะ ไอ่ต้าวผี"

“ฟรึ่บ!!” ผมเปิดซิปกระเป๋าสะพายหยิบเสื้อสำรองอีกตัวขึ้นมา เป็นเสื้อผ้าทอชนเผ่าชาวดอยที่พกมาไว้เผื่อเหตุต้องใช้ยามฉุกเฉิน

ซึ่งก็ได้ใช้ตามที่คิดไว้จริงๆ แล้วผมก็สวมใส่จัดระเบียบทรงผมที่ยุ่งเหยิงก่อนไปเข้าห้องสอบ

 

“กริ๊งงงง!!!

เสียงสัญญาณหมดเวลาสอบ วันนี้ก็เหมือนทุกที ไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้ ทำข้อสอบไม่ค่อยได้ ดินสอกับเสื้อถูกปล้น ยังดีที่ไม่โดนซ้อมให้หน้าเขียวช้ำเหมือนที่เคย

ผมชินสะแล้วล่ะ ดีแล้วที่เรียนอยู่บ้าน ไม่ได้เรียนอยู่ที่นี่ ไม่งั้นคงโดนแกล้งทุกวัน คนในเมืองมันเป็นอะไรนักหนา เห็นเด็กดอยใสๆซื่อๆแบบผมหน่อย ก็อยากแกล้ง

ว่าแล้วหลบหนีออกจากที่นี่ไปทางสนามหญ้าดีกว่า เผื่อเจอพวกนั่นอีกจะซวยเอา เอาไว้โตกว่านี้ค่อยมาคิดบัญชีละกัน

 

“แย่แล้วค่ะครู น้อง ม.1 นอนที่พื้นสนามหญ้า ดิ้นร้องเพ้อไม่หยุดเลยค่ะครู”

เด็กหญิงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องเรียนเพื่อมาพบครูพยาบาลที่กำลังคุมสอบ ท่าทีของครูตกใจเล็กน้อย แต่ก็คุมสติ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเด็กหญิงนั้นไป


“ซ้อมกีฬาอยู่ดีๆ จากนั้นก็ล้มลงไป”  “พวกเรานึกว่าน้องเป็นลมค่ะ” “แต่อยู่ๆ น้องก็พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ค่ะ” เด็กหญิงให้ข้อมูลอย่างกระหืดกระหอบ

“นักเรียนปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วใช่มั้ยคะ” ครูสาวหันไปถาม เด็กหญิงรีบพยักหน้าตอบ


ผมได้ยินแบบนั้น ก็คิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องอะไรของผม จึงได้เดินหนีไป แต่ไม่ทันเดินไปได้ไกลก็สะดุ้งจนต้องหันหลังกลับเมื่อได้ยินคำว่า

“สงสัย น้องจะโดนผีเข้าค่ะครู”


“....หืมมม ผีหรอ กลางวันแสกๆเลยนะเนี่ย” ผมพรีมพรำในใจ แล้วมองหานรุตม์


ตามไปดูเหตุการณ์ก่อนละกัน ผมเข้าไปมุงดูอยู่หน้าห้องพยาบาล น้อง ม.กำลังนอนอย่างสงบอยู่บนเตียง ส่งเสียงครางเบาๆ ครูสาวรีบไปวัดไข้และตรวจสัญญาณชีพ

“ก็ปกติดีนี่นา” ครูสาวเริ่มเป็นกังวล เด็กๆ ต่างมุงดูอยู่หน้าห้อง ครูสาวเตรียมติดต่อผู้ปกครองและโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด


“นายเห็นเหมือนที่ชั้นเห็นมั้ย สินทราย” เสียงกระซิบที่คุ้นหูดังขึ้นในหัวผม

“นรุตม์ดูนั่นสิ”

ใช่แล้วผมเห็น เห็นในแบบที่เพื่อนและครูมองไม่เห็น

 

“ผีก้ะ!!!” ผมเห็นผีกะ ซึ่งเป็นผีพื้นบ้านล้านนา ที่ชาวเมืองนิยมเลี้ยงไว้เป็นผีประจำตระกูล คอยเฝ้าสมบัติ เจ้าของจะเลี้ยงไว้ในหม้อที่วางไว้บนเพดานบ้าน

หากเลี้ยงดีจะช่วยให้พืชผลไร่นาอุดมสมบูรณ์ หากบ้านไหนมีลูกสาว ผีก้ะ จะช่วยให้สวยดูดีขึ้นโดยเฉพาะยามค่ำคืน

แต่หากเจ้าของหรือลูกหลานเลี้ยงไม่ดี ไม่มีอาหารไหว้ ผีก้ะก็จะเที่ยวเข้าสิงสู่คนที่มีผมหอม ทำให้ผมของผู้ถูกครอบงำมีลักษณะเส้นหนาขึ้น

ดั่งเช่น เด็กผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลคนนี้

 

มันกำลังคุกคามร่างเด็กคนนั้น ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แต่นรุตม์รู้แน่นอน

“มันหิวโหย ต้องการบุญและโอชารสอาหาร และดวงจิตของเด็กคนนั้น เพราะบ้านของเด็กหญิงคนนี้เลี้ยงผีอย่างดี มันต้องการให้เด็กมาเป็นสาวผีก๊ะ รับใช้มัน”

นรุตม์ตอบเสียงขุ่นเคืองจนผมสัมผัสอารมณ์โกรธของเขาได้


“หาที่สงบๆแล้ว ถอดจิตออกไปช่วยเด็กหญิงคนนั้นสิ”

ผมหน้าเหวอเลยยย  เมื่อนรุตม์บอกว่า ให้ผมไปปราบผี โอ้ววว อีกแล้ว รู้งี้ วิ่งหนีกลับบ้านดีกว่า โถ่ หน้าที่หนอหน้าที่

"เอาว่ะ ไม่มีอะไรจะเสียละ"

ผมเอามือล้วงกระเป๋า เดินดุ่มๆไปในห้องสมุดที่เงียบสงัด หามุมเหมาะๆ ถอดสร้อยข้อเท้าแล้วเอาใส่กระเป๋ากางเกงไว้อย่างมิดชิด

ไม่นานนักผมก็ผลอยหลับไป ถอดกายละเอียดออกจากร่างที่พิงผนังหลับแน่นิ่ง

 

ผมเดินทะลุกำแพงเข้าไปในห้องพยาบาลที่มีผู้คนมุงดูอยู่

“ผีก้ะ เข้าฝันเธออยู่ นายต้องเข้าไปเจรจากับมันในฝัน ถ้ามันคุยไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมออก ก็ปราบมันสะ”


นรุตม์พูดกับผมอย่างมั่นใจ นี่เห็นผมเป็นหมอผีมืออาชีพ หรือนักเวทย์มือทองไปแล้วรึไง

“เอาว่ะ”  ผมร่ายมนต์จากซึงวิเศษในบทเพลงกล่อมฝัน เป็นวิชาในตำราโบราณที่นรุตม์ให้ผมฝึกมาได้สักพัก ก็ได้โอกาสใช้จริงวันนี้

เป็นบทเพลงที่ผู้พิทักษ์จะใช้สื่อสารกับกายฝันของมนุษย์เวลาหลับ


“เจี๊ยกๆๆๆ คริ คริๆๆ” เสียงลิงกระโดดโลดเต้นไปมา อยู่บนบ่าบ้าง หัวบ้าง ของผู้หญิงตรงหน้า

ใช่แล้ว นี่คือความฝันของเด็กหญิงคนนี้นี่เอง ผีก๊ะขณะเข้าสิงผู้คน เจ้าตัวที่โดนคุกคามจะเคลิ้มฝันไม่ได้สติ ฝันเห็นลิงกระโดดเกาะหัว และตัวเองจะส่งเสียงร้องละเมอโหยหวนด้วยความกลัว



“พิณคลั่งสลายวิญญาณ!” นรุตม์เข้ามาในฝันเช่นกัน แล้วสั่งเสียงเฉียบขาด ผมได้แต่ทำหน้าตกใจ

 “ถึงขั้นต้องใช้บทเพลงพิฆาตแห่งคนธรรพ์เชียวรึ ผีก้ะนั่น เป็นผีของชาวบ้านเลี้ยงแค่นั้นเอง หากใช้บทเพลงนี้ ไม่แรงไปหน่อยหรอ”

ผมเองก็ไม่กล้าใช้บทนี้สักเท่าไหร่ เพราะดวงวิญญาณอาจแตกสลายได้


“ไม่หรอก พวกนักรบสวรรค์ที่กลายเป็นผีก้ะนี้ ได้สูญเสียดวงแก้วกายสิทธิ์ไปแล้ว ไม่ต่างอะไรจากภูติผี”

“จะต่างก็เพียงผลบุญที่ไม่มากพอที่จะกลับไปยังเมืองหิมวาแล้ว หนอยแนะเป็นถึงผู้พิทักษ์ดูแลประตูเมืองหิมวา แต่แอบมาเที่ยวโลกมนุษย์จนเสียพลังกายสิทธิ์”

นรุตม์กล่าวเสียงเบาลงอย่างอนาจใจ


“ห้ะ!!! ผีก้ะนี้ เคยเป็นผู้พิทักษ์มาก่อนหรอ”


ผมเคยได้ยินพ่อเล่าให้ฟังว่า ผีก้ะ หมายถึง ตะกละ หรือ คนขี้ก้ะ นิสัยกินจุคล้ายผีปอบ มีหลายชนิด ผีตัวนี้คงเป็น ผีกะตระกูล ไม่น่าเชื่อว่า เดิมคือชาวเมืองหิมวาแบบเดียวกันกับนรุตม์นี่แหละ แต่ติดในลาภ ยศ ใช้วิชาปีศาจหลอกล่อมนุษย์โดยบันดาลโชคลาภ ให้ตนได้อาหารคาวหวานอิ่มเอม ความลุ่มหลง ตะกละนี้ทำให้จู่ๆจากการเป็นนักรบสวรรค์ ผู้พิทักษ์ประตูเมืองกลายร่างเป็นผีก้ะผู้หิวโหย ไม่รู้จักอิ่ม”

 

ซึงวิเศษแห่งคนธรรพ์ปรากฏในมือของผม แน่นอนผมไม่รอช้าจรดสมาธิอยู่ที่ปลายนิ้วทันที

เสียงซึงสายแรกเรียกธาตุทั้ง 4 

เสียงสายที่สองเรียกทวยเทพเทวามาอารักขา บทนำแห่งท่วงทำนองเสมือนกวนน้ำทะเลที่นิ่งสงบให้เชี่ยวกราด เสมือนพายุที่พัดโหมกระหน่ำ คลื่นน้ำพัดสาด เสียงสูงต่ำสะท้านโสตประสาท ผีก๊ะในร่างคล้ายลิง ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว มันลงไปแดดิ้นกับพื้น ดิ้นแรงเบาสลับตามเสียงดนตรี ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว ผีก้ะตนนี้พยายามจะพุ่งโจมตีมาที่ผมแต่ก็ต้องสะท้อนกลับด้วยเสียงพิณของนรุตม์ที่บรรเลงคุมอยู่ข้างๆ มันเก่งกล้ามากสร้างเกราะหกเหลี่ยมสีดำสนิทกันเสียงบรรเลง แล้วมันก็ตรงเข้ามาหาผมอีกครั้ง

คราวนี้ผีก้ะมันขู่ร้องคำราม โหยหวนเสียงแหลมอย่างกับเรียกพวก จากนั้นก็มีเสียงร้องดังระงม


“เจี๊ยกๆๆ”

ฝูงลิงตัวเล็กๆร่างเหลวๆเหมือนยังไม่แข็งแรงปรากฏขึ้นรายล้อมผีก้ะ ที่ตอนนี้ดูเหมือนพญาลิงตัวใหญ่

“แยกกันออกไปซ้ายขวา ระวังตัวด้วย” นรุตม์ออกคำสั่งเสียงเข้ม ผมพยักหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะยังไงผมก็เชื่อว่านรุตม์เก่งกาจอยู่แล้ว เพียงลำพังคนเดียวก็เอาอยู่ แต่นี่คงให้ผมฝึกวิชาเท่านั้น


นรุตม์ตะโกนบอกเสร็จ เราก็แยกกันไปคนละฝั่ง ร่างผีก้ะที่เป็นเหมือนลิงตัวใหญ่ทะยานเข้าใส่นรุตม์ก่อน จากนั้นพวกฝูงลิงผีก็กรูหน้ามาทางผม


นรุมต์ไม่ถอย ซ้ำยังบุกพุ่งสวนเข้าหาตรงๆ ดูท่าจะถูกตะครุบคว่ำเป็นแน่ แต่พอเข้าใกล้ถึงตัว เขาย่อตัวต่ำสไลด์ตัวเตะสกัดขาเจ้าผีก้ะ จากนั้นลอดผ่านใต้ท้องแล้วดีดเครื่องสายพิณชนิดง้างสุดมือ โถมใส่ฝูงลิงผีบริวารที่ประจันหน้าให้ผม พวกมันกระเด็นกันไปคนละทิศทาง


“บอกว่าให้จัดการพวกมัน มายืนอึ้งมองชั้นทำไมล่ะ ไอ่จั๊ดง่าวเอ้ย รู้อะไรมั้ย ถ้าผีก้ะเข้าถึงตัว เจ้านั่นแหละจะเป็นรายต่อไปที่ถูกสิง”

นรุตม์พูดแบบนี้ก่อนจะหันหลังกลับไปจัดการกับผีก้ะร่างลิงยักษ์ ทิ้งผมไว้ ผมก็ผวาสิ ไม่รีรอ รีบยกซึงวิเศษประจำตัวขึ้นดีด ว่าแต่จะดีดเพลงอะไรนะ


“ตั้งสมาธิสิ สินทราย ไม่มีภูตผีปีศาจตนไหนรอดพ้นจากพิณคลั่งวิญญาณได้” เสียงที่นรุตม์เคยสอนไว้เตือนสติผม ปลายนิ้วผมค่อยๆขับเคลื่อนสายซึงสลับไปมาอย่างแม่นยำ เสียงบทเพลงพิฆาตทำนองฉวัดเฉวียน กระแทกฝูงลิงผีบริวารผีก้ะจนกระเด็นแล้วแตกร้าวอย่างเห็นได้ชัด ผมรวบรวมแรงในการสะบัดสายเครื่องดนตรีคู่กายให้หนักหน่วงและเฉียบคมมากขึ้น ทุกจังหวะในการสะบัดสายซึงนั้นเกิดเป็นลำแสงสีเขียวคล้ายดาบยาวฟาดฟันลงบนเกราะ รอยร้าวสุดจะทานทน แตกทะลุร่างของฝูงบริวารผีก้ะอย่างจัง


“ฟิ๊ง ฟิ๊ง ฟิ๊ง” เสียงบรรเลงเครื่องสายคล้ายการลงดาบ ฟาดไปยังร่างของฝูงลิงผีปวกเปียกนับ 100 ได้จนหมดอย่างรวดเร็ว เสียงร้องของวิญญาณพญาลิงผียักษ์ ดังสนั่นอยู่ไกลๆ ผมมองเห็นนรุตม์เอี้ยวตัวหมุนกลางอากาศพร้อมฟาดสันพิณเข้าใส่กลางหลังของผีก้ะ


“รุมมัน!!!” นรุตม์ตะโกนบอกผม ผมไม่รีรอรีบวิ่งเข้าไป

“ผัวะ!!” เสียงเครื่องพิณของนรุตม์ฟาดทุบใส่ผีก้ะ 1 ที พิณนี่แข็งแกร่งจริงเชียว


“ดึงสายซึงออกมา แล้วจับมัดที่ขาของมัน” นรุตม์ออกคำสั่ง ผมก็ลองดึงออกตามคำบอกอย่างไม่รีรอ สายซึงยาวออกมาเหมือนแส้ที่นรุตม์เคยใช้

ผมลองทำท่าทางตามที่เห็น ขว้างเส้นเชือกทอดยาวไปยังร่างของผีร้าย แต่ว่าเจ้าเชือกไม่รักดี มันไม่ยอมรัดขาเจ้าผีร้ายแต่ใดๆแถมกลับเด้งมาเหมือนเดิม


“ดูนี่ กำหนดจิตให้เห็นภาพที่ต้องการ” นรุตม์ดึงสายพิณของตนออกมา แล้วกำหนดจิตว่าสายพิณของตตนรัดพันเกี่ยวขาของผีร้าย ประหนึ่งว่าสายพิณรับรู้ความต้องการของผู้เป็นเจ้าของ ผมจึงลองบ้าง


“ฟรึ่บ!! ฟรึ่บ!!” เสียงสายเครื่องบรรเลงของเราพันเกี่ยวขาทั้ง 2 ข้างของเจ้าลิงผียักษ์ไว้แน่น ผมกัดฟันสู้ ตรึงกำลังจับขาไว้แน่นไม่ให้มันขยับ ขณะนี้รู้สึกได้ว่าผีก้ะนี้กำลังอ่อนแรงลง แต่แรงของสมาธิผมคงไม่นิ่งพอ ผีก้ะสบัดขาอย่างแรง ทำเอาผมกระเด็นลอยตามสายเชือกที่คล้องขามันอยู่ โผตัวลอยกลางอากาศ


ผีก้ะได้จังหวะกระโดดถีบผมกระเด็นหลุดไปอีกทาง ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่ในร่างมนุษย์หยาบเลย

“โอ้ยยย เจ็บ!!


“ฮึบ!!

นรุตม์ออกแรงดึงผีก้ะกลับมาอย่างเต็มแรง ไม่ให้มันทะยานตัวมากระทืบผมซ้ำ

เขายกแขนทั้งสองขึ้น อุ้มผีก้ะพร้อมแอ่นตัวไปด้านหลังเป็นท่าสะพานโค้ง ทุ่มผีก้ะร่างลิงยักษ์ลงกับพื้นด้านหลังของตนไป

.

.

สถานการณ์กลับมาควบคุมได้อีกครั้ง ผมพยายามลุกขึ้นอย่างสะบักสะบอม พอผมลุกขึ้นมาได้ไม่นาน ขาของผมก็รู้สึกอ่อนแรงมากจนล้มไปอีกรอบ นรุตม์หยิบพิณดีดเพลงเยียวยาเสียงละมึนนุ่มแผ่พลังฟื้นฟูมาให้ผม ความรู้สึกอย่างกับคนที่ได้ยาวิเศษมีเรี่ยวแรงกำลังวังชากลับมาทันที


ผีก้ะจอมบ้าคลั่งที่เพิ่งโดนทุ่มไป ลุกขึ้นมา เปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีที่ผม มันคงแค้นที่กระโดดถีบผมขนาดนี้แต่ผมกลับไม่เป็นอะไร สังเวียนที่ดูอันตรายที่สุดตอนนี้ กลายเป็นการเอาคืนที่สาสม


“ลุย!!!” สิ้นเสียงนรุตม์ ผมก็ทะยานตัวอย่างมั่นใจ มีนรุตม์อยู่ด้วย ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น


ผมนึกเห็นผีก้ะตรงหน้าเป็นสารรูปพวกนักเลง 3-4 คนที่เมื่อเช้าก่อนเข้าสอบ มันมาแกล้งผม ผมไม่รีรอกระโดดเข้าซัดหน้า ตีเข่า ตัดซอกอย่างไม่ยั้ง นรุตม์ก็ช่วยรัดตัวมันด้วยสายพิณตรึงทั้งแขนขา และลำตัว บัดนี้กลายเป็นความบันเทิงที่ได้รังแก เอ้ย เอาคืนคนที่แกล้งเรา ในที่สุดเราทั้งคู่ก็คว่ำผีก้ะวิญญาณร้ายตนนี้ได้

 

ดวงแก้วกายสิทธิ์ของผีร้ายที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงหินสีดำทมิฬกระเด็นหลุดลอยออกจากร่าง และกลายเป็นฝุ่นธุลีลงดิน  ก้านธูปใกล้หมดลงพอดี

บรรยากาศเริ่มกลับมาเหมือนเดิม ซึงในมือของผมหายไป ผมก็ได้แต่ว้าวในใจ เหมือนผมกำลังผ่านการฝึกงานในอาชีพใหม่ และนรุตม์ก็เหมือนพี่เลี้ยงที่มาช่วยผมอีกที นึกๆ แล้วมันก็น่าว้าวจริงๆ เหตุการณ์ตรงหน้าคลี่คลายเป็นปกติ พร้อมกับคำถามในหัวผมที่เต็มไปหมดเกี่ยวกับ ผู้พิทักษ์

 

“ทำไมผู้พิทักษ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” ผมถามนรุตม์อย่างสงสัย

“ผู้พิทักษ์ นักรบสวรรค์มีหน้าที่ดูแลรักษาประตูเมืองหิมวา และคอยดูแลให้คำแนะนำมนุษย์ครึ่งเทพที่มีเชื้อสายเทพหิมพานต์ผู้จุติมาเกิดใหม่ ก็จริงๆคล้ายๆกับเป็นไกด์นำเที่ยว ผสมยามหน่อยๆ


แต่เราก็มีหน้าที่ต้องต่อสู้กับปีศาจที่ครอบงำภูตผี จะอธิบายสั้นๆก็คือ ร่างกายของมนุษย์มีค่ามากๆ ถ้าผู้พิทักษ์ไม่ลงรักษา บรรดาผีร้ายก็อยากสิงสู่

เพราะพวกเขาหิวโหยไงล่ะ อยากกิน แต่ก็กินไม่ได้ ไม่รับรู้รสชาติอาหาร ทำบุญก็ไม่ได้


ผู้พิทักษ์แบบเราหากเสพติดรสชาติอาหารบนโลกมนุษย์มากเกินไป ก็หิวโหยอยากสิงสู่ผู้คนเพื่อจะลิ้มรสกินบ่อยๆผ่านตัวคนที่สิง

ซึ่งผิดกฎสภานักเวทย์ ที่ห้ามเราบังคับจิตใจมนุษย์ เพราะมันเป็นเวทย์อสูรฝั่งวิชามาร เราจะทำได้เพียงการดลจิต เข้าฝันเท่านั้น”


“อ๋อออ แสดงว่าผู้พิทักษ์ที่กลายเป็นผีก้ะนี้ เข้าสิงร่างมนุษย์มาก่อนเพื่อเสพรสชาติอาหาร หาเสพบ่อยๆก็ติด จากการปกปักรักษาดูแล ก็เลยเป็นสิงสู่แบบนี้” ผมเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น วิญญาณผีก้ะร้ายตนนี้สลายปุ๊ป ผมก็รู้สึกว่านรุตม์ก็หายไปปั๊ปเช่นกัน

.

.

“เห้ย ไอ่สินทราย มาแอบนอนอยู่นี่เอง” มีใครบางคนเดินเข้ามาเอาขาเตะผมเบาๆ


“นอนหรอ” ผมคิดในใจ ผมลืมตาได้สติ จิตเข้าร่างดังเดิม กำลังงัวเงียได้ที่ก็พบร่างใหญ่ของพวกนักเลงที่แกล้งผมเมื่อเช้า มันมาทำอะไรในห้องสมุด อย่าบอกนะ ว่ามาอ่านหนังสือ เชอะ


“มาอ่านหนังสือด้วยหรอ ไม่ยักรู้ว่าอ่านออก” มันดูถูกผม เห็นผมไม่ได้เข้าโรงเรียนก็เหยียดกันเลย คราวนี้ผมจะไม่ทนละ ผีก้ะเมื่อกี้ผมก็ปราบมาแล้ว เป็นไงเป็นกัน

ผมจึงใช้สกิลปากตอบกลับไป

“พวกนายล่ะ เข้ามาทำไมที่นี่ ห้องสมุดกับอันธพาน ดูไม่ค่อยเข้ากันเลยนะ”

“เอ้า!! บ่าจ๊าดหมา ปันต๋าย นี่ ปากดีล้ำไป” พวกมันสติหลุด หัวร้อนกันไปตามๆกัน ตะโกนด่าผมเสียงดัง แล้วง้างมือขึ้นชกหน้าผมไป 1 ที

“ตั๊บบ!!


ผมโซเซเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปสวนด้วยหมัดและแรงกำลังเท่าที่ผมมี ผมต่อยสุดแรง

"ฟรึ่บ!!!" ผมรู้สึกว่าหมัดที่อยู่ที่มือของผมมันหนักเหมือนกำปั้นดินกลมๆแข็งๆ ปกติถ้าต่อยขนาดนี้ ผมต้องปวดข้อมือบ้างแหละ

แต่นี่ไม่เลย ผมดูสบายดี แต่ที่ดูผิดปกติไปก็คือ ไอ้คนที่โดนผมชกสวนคืน ตอนนี้นอนนิ่งหน้าแนบพื้นไปแล้ว


1 ใน พวกมันผลักผมแล้วง้างมือมาต่อย ผมใช้มือทั้งสองจับกำปั้นของมันที่เกือบจะกระแทกเข้าหน้าผมได้ทัน

ดวงตาของมันดูตกใจ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ เอ๊ะ หรือว่าทำ

ผมสัมผัสความรู้สึกที่เชื่อมโยงระหว่างมือผม และกำปั้นของ 1 ในลูกกระจ๊อกที่ผมใช้มือจับกำปั้นได้ทัน รู้สึกว่าผมจะควบคุมหมัดคนอื่นได้


แล้วสักพัก พวกมันก็ต่อยกันเอง

1 คน ถูกผมใช้พลังเวทย์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าใช้แบบนี้ครั้งแรก ผมสั่งให้มันง้างมือชกอีกคน ส่วนอีกคนก็ชกกลับเพราะจู่ๆเพื่อนก็มาต่อยก่อน

ทั้ง 2 คนก็ทะเลาะ ต่อยตีกันยกใหญ่


ตอนนี้ผมเริ่มกระหยิ่มยิ้มย่อง นี่คงเป็นพลังเวทย์บางอย่างของคนธรรพ์สินะ

โห รู้อย่างงี้ ยอมเรียนแต่เด็กล่ะ



“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นักเรียน พวกเธอทำอะไรกันน่ะ ตามไปพบครูที่ห้องปกครอง”

สิ้นเสียงครูผู้หญิงในห้องสมุด ผมก็ใช้วิชาเอาตัวรอดหลบหนีไปก่อน ปล่อยให้พวกนักเลงถูกครูไล่ให้ออกจากห้องสมุดทันที พร้อมเทศนายกใหญ่

          .

          .



“ปิ๊กมาแล้วครับ” ผมกลับมาถึงที่บ้านในช่วงเย็น เพราะด้วยการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนค่อนข้างไกล ผมเรียนเองที่บ้าน ถึงเวลาก็ไปสอบเทียบ พ่อกับแม่มักเป็นห่วงทุกครั้ง ห่วงว่าผมจะไปคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เพราะผมมักจะคุยอยู่กับต้นสตรอเบอรี่ของที่ไร่ พอเข้าเมืองไปคนเดียวมักไม่รู้จะคุยอะไร จนบางทีผมก็นึกอยากจะเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าต้นสตรอเบอรี่นี่จริงๆ

“เป๋นจะไดพ่อง ผ่อเลาะ ลูกชายหล่อ ปิ๊กมาล่ะ” ผู้เป็นแม่หันมาถาม พร้อมส่งจานข้าวให้ ผมรีบขอบคุณพร้อมกับพยักหน้าตอบไป “ก็ดีครับ” “เพื่อนๆ ถามผมเรื่องโฮมสคูลนักขนาด”

พอผมเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหาร พ่อกับแม่ดูจะเห็นรอยแดงจากหมัดเมาพวกอันธพานนั่น เหมือนจะถามอะไร แต่ผมไหวตัวทัน

“หูววว กับข้าวมื้อนี้ ลำแต๊ลำว่า” ผมเบี่ยงเบนความสนใจพ่อกับแม่มาที่อาหารหลากเมนู และที่แน่ๆก็มีสตรอเบอรี่ลูกดกผลใหญ่ๆของโปรดผมวางอยู่ในจานด้วย

“จะไปฟั่งกิ๋น ข้าวจะติดคอล่ะกา” แม่เตือนให้ผมกินช้าๆ พร้อมอมยิ้มเล็กน้อย และไม่ลืมที่จะตักอาหารสุดโปรดให้กับผม

“วันพรุ่ง อย่าขี้ค้านหนา ฟั่งตื่นไปเก็บสตรอเบอรี่กับพ่อโตย” ผมนี่รีบพยักหน้ารับคำทันที จะพูดรึเสียงก็อู้อี้ เพราะเพิ่งตักข้าวเข้าปากคำโต เคี้ยวตุ่ยๆอยู่เลย

“ตื่นหื้อทันละ”

“ค้าบ” 

__________________________________________________________________________________________________________________________


อ่านจบตอนนี้แล้ว เป็นยังไงบ้าง บ้านคนธรรพ์น่าอยู่มั้ย


https://www.facebook.com/TheHIMVA


แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น