(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 8 "เพื่อนไม่เคยเก่า" | บทความ

บทความ


(นิยาย)THE HIMVA : เพื่อนรักนักเวทย์ ตอนที่ 8 "เพื่อนไม่เคยเก่า"

Blog Single

ตอนที่ 8

เพื่อนไม่เคยเก่า



 

 

        ตลอดเส้นทางบนท้องถนนในยามค่ำคืน ท้องฟ้าแม้มืดสงัดแต่ก็ยังมีแสงไฟอยู่รายทาง ผมกับพ่อเดินทางมาหลายชั่วโมงจนเมื่อยไปหมดก็ยังไม่ถึงกรุงเทพสักที หมอกลงหนาขมุกขมัวในช่วงดึก เขม่าฝุ่น หมอกควันจากรถปกคลุมแสบจมูกไปทั่ว ผู้คนเดินทางไปไหนมาไหนต้องสวมใส่หน้ากาก แต่ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องเป็นวันที่ดีของผม

    “มาทางเพ๊ะ สินทราย ขับรถหื้อป้อก่อน” พ่อให้ผมย้ายไปเป็นคนขับแทน เพราะเส้นทางข้างหน้าเป็นทางตรงยาว รถน้อยในยามค่ำคืน แสงไฟก็สว่างเพราะเป็นเขตเมือง ผมขับรถยนต์เป็นบ้างเพราะพ่อฝึกให้ แต่ก็ไม่ชินกับถนนเท่าไหร่ แต่ทว่านั่งรถมานานแล้ว ดีเหมือนกัน ให้พ่อได้พักบ้าง

    “ขับตรงตลอดเลยแม่นก่อ” ผมถามพ่อย้ำ เพราะกลัวจะขับหลง ในระหว่างที่ผมขับรถ พ่อก็งีบหลับไปบ้าง ในบางช่วง ระยะทางไกลมากว่าครึ่งชั่วโมง ผมค่อยๆขับไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงถนนเส้นนึงที่ซึ่งไม่มีไฟฟ้าอยู่ด้านข้าง พอเจอตรงนี้ผมเลยเรียกพ่อเบาๆ ปลุกตื่นให้มาอยู่เป็นเพื่อน แต่พ่อผมคงเพลียงัวเงียไม่ตื่นในทันที ผมจึงลองขับช้าลงไปเรื่อยๆ ในหัวผมคิดไปต่างๆนานาตามประสา แต่ก็ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด

    “.....!!!!” นั่นไง ใครกันมาโบกรถผมอยู่ข้างทาง ผมรู้อยู่ลึกๆ นั่นไม่ใช่คนหรอก แหมดีจริงๆ เป็นคนมีพรสวรรค์เห็นผีได้ด้วย ผมก็ค่อยๆขับผ่าน คนแล้วคนเล่า ก็เฝ้าแต่โบกตลอดทาง ผมมองข้างทางที่มืดสลัว รถน้อยคันจะผ่านมาบ้าง มองเห็นศาลพระภูมิแตกๆหักๆ บ้างก็รูปปั้น บ้างก็ม้าลาย ทิ้งรายทางพร้อมกับตรงหน้ามีต้นไม้ใหญ่ผูกผ้าสามสี เวลาคนขับรถผ่านก็จะบีบแตร ทำผมตกใจ ซึ่งผมก็คิดว่าเจ้าที่เจ้าทางแถวนี้ก็คงตกใจบ้าง หรืออาจจะรำคาญที่มนุษย์ต่างพากันกดแตรเพื่อหวังจะแสดงความเคารพ

ผมก็เลยทำตามมั้ง เดี๋ยวเขาจะหาว่าผ่านทางมาไม่รู้จักเคารพเจ้าถิ่น “แป๊นนน!!!” เสียงแตรดังขึ้น

พ่อของผมสะดุ้งตื่นเล็กน้อย ก่อนจะผลอยหลับต่อ รู้ล่ะว่าผมได้ความขี้เซามาจากใคร

เจ้ากรรม พอผมปีบแตรเสร็จ รถมาดับเสียนี่ ผมลองก้มมองที่แผงควบคุม ปิดเปิดกุญแจใหม่แล้วสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง ครั้งแรกไม่ติด ครั้งที่สองก็ยังไม่ติด ผมไม่ลืมเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเผื่อรถวิ่งเร็วตามมาข้างหลัง แต่ขณะผมมองกระจกหลังดูว่าไฟติดหรือยัง ก็พบเห็นร่างบางอย่าง เกาะอยู่ตรงกระจกรถข้างๆฝั่งที่ผมนั่งอยู่

    “เอาแล้ววว ไง เห้อออ” ผมเร่งคันเร่ง บีบแตรดังยาว จนพ่อสะดุ้งตื่น แล้วถามผมว่าเป็นไร จนกระทั่งเห็นผมเหยียบคันเร่งดีดรถไปไกลเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง จนกระทั่งผมต้องเหยียบเบรกกะทันหัน

    “เอี๊ยดดดด!!” เบื้องหน้าผมเห็นผู้หญิงอุ้มเด็กทารก เดินข้ามถนน ผมตกใจกลัวว่าจะชนเลยเบรกสุดแรง

แต่ไม่ทันเบรกได้สนิท รถก็เคลื่อนตัวผ่านไปโดยไม่มีเสียงกระทบหรือชนใดๆ ผมว่านี่ก็คงเป็นผีอีกตามเคย

    “ผีแม่ลูกอ่อน” ผมพรึมพรำส่ายหัว เพราะอาการมองเห็นผีนี้ ไม่ควรขับรถเลยจริงๆ ผมจึงหาที่จอดแล้วสลับกับพ่อ ให้มาเป็นผู้ขับดังเดิม

ในขณะที่รถจอดพักกลางทางปั๊มน้ำมัน ยาแก้เมารถช่วยให้ผมนอนหลับได้ยาวตลอดทาง ไม่ใช่เพราะผมเวียนหัวจากการนั่งรถเท่านั้นหรอก แต่บรรดาพวกผีสาง วิญญาณเร่ร่อนรายทางต่างหากที่กวนใจ ส่วนใหญ่เป็นผีรอเวลาไปเกิด สภาพของวิญญาณบอกชัดว่าเป็นอุบัติเหตุ น่าเวทนาร้องไห้กวักมือเรียกหาคนช่วยเหลือ ทำไมวิญญาณพวกนี้ไม่ไปผุดไปเกิดสักทีนะ

    “วิ๊งง!!!

    “ผีพวกนี้ รอเวลายมทูตมารับไปตัดสินบุญบาปที่ยมโลกน่ะ บุญไม่มากเกินพอที่จะขึ้นสวรรค์ แล้วก็ไม่บาปหนาเกินกว่าจะสูบลงไปนรก ยมโลกจึงเป็นที่สำหรับผู้ล่วงลับที่บุญไม่ชอบทำ บาปกรรมไม่ชอบสร้าง”

เสียงของนรุตม์ตอบคำถามที่พรึมพรำของผม แล้วปรากฏกายข้างๆที่เบาะคนขับ แทนที่พ่อของผมที่ลงไปเข้าห้องน้ำ ผมอดคิดไม่ได้จึงถามแซวนรุตม์ไป

    “มานั่งที่คนขับแบบนี้ ขับเป็นหรือเปล่า นายท่านนน” ผมถามอย่างยียวน

    “ทำไมข้าต้องขับรถเป็นล่ะ ที่หิมวา เวลานักเวทย์ไปไหนมาไหน เขาก็เหาะเหินเดินอากาศกันทั้งนั้น”

    “แล้วที่หิมวา มีพวกรถ หรือเกวียนอะไรพวกนี้ บ้างไหม” ผมถามอย่างสงสัย

“มีสิ หิมวา ยังมีมนุษย์ครึ่งเทพที่ไร้เวทมนต์ เป็นชาวเมืองธรรมดา พวกเขาก็ใช้ชีวิตไม่ต่างไปจากมนุษย์โลกหรอก มีกิน ดื่ม เที่ยว ทำงาน ค้าขาย รับราชการ แล้วแต่เขาจะเลือกทำ อย่างบางคนก็ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในยมโลก แต่ก็แค่บางคน งานไล่จับวิญญาณมนุษย์ ไม่ค่อยมีใครทำกันนักหรอก” นรุตม์ตอบ

    “จริงหรอ มิน่าล่ะ วิญญาณเร่ร่อนเต็มไปหมดเลย”

    “จริงสิ เดี๋ยวถ้าเจ้าได้ไปหิมวา ข้าจะบอกให้สหายข้าที่เป็นยมทูต พาเจ้าไปฝึกงานเป็นที่แรกเลย”

    “......!!!” ผมส่ายหัว มองบนเล็กน้อย รู้ทั้งรู้ว่านรุตม์อำผมเล่น “ผมจะไปหิมวาได้ยังไงกัน”

“ทำไมเจ้าไม่ลองถามพ่อของเจ้าดูล่ะ ว่ารู้จักเมืองหิมวาบ้างหรือไม่” นรุตม์พูดจบก็หายตัวไป เพราะพ่อของผมกำลังเดินมาถึงรถพอดี

“เอ้อออ บ่าเมินนัก แต่จะไดฝนมาต๊กฮำหัวล่ะน๊อ” พ่อผมเปิดประตูขึ้นรถบอกว่าอีกไม่นานก็จะถึงแล้ว แต่ทำไมจู่ๆฝนก็ตกปรอยๆลงเม็ดมาสะได้ แต่ฝนตกก็ดี ขับรถช้าๆค่อยๆไปไม่เวียนหัว จะได้มองอะไรใหม่ๆข้างทาง

ผมชักอยากรู้ว่าพ่อเคยได้ยินหรือรู้จักเมืองหิมวาบ้างรึไหม จึงถามพ่อระหว่างทาง

“ป้อ พอจะฮู้รึว่าเกยได้ยินเมืองที่ชื่อ หิมวา มาพ่องก่อ”

“โค๊ะ...หิมวา....ฮู้สะยิ่งกว่าฮู้ เชื่อก่อว่าพ่ออุ้ยเกยได้หันมาก่อนล้ำไป สมัยละอ่อน เล่าหื้อป้อฟังว่าไปแอ่วกะพ่ออุ้ย ปู่ของอะตอม เปื้อนของลูกฮั่นเลาะ สมัยยังเป็นพรานป่า เคยไปมาล่ะหนนึง”

ไม่น่าเชื่อว่าพ่อของผมจะรู้เรื่องนี้ เพราะรุ่นปู่ของผมเคยได้ไปเมืองหิมวามาก่อน แถมไปกับปู่ของอะตอมเพื่อนสนิทของผมอีก เรียกว่าครอบครัวของเราสนิทกันตั้งแต่รุ่นปู่มารุ่นลูกเลยทีเดียว ผมยังไม่ทันได้ถามอะไร พ่อก็เล่าให้ฟังว่า ที่บ้านของอะตอมรวยมากถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าปู่ของผมให้หินอัญมณีชิ้นนึงที่เก็บมาได้ ให้กับย่าของอะตอมไป หินนี้เอาไปขายเป็นเงินหลายล้านบาท ที่ให้ก็เพราะปู่ของอะตอมช่วยชีวิตปู่ของผมจากอันตรายในดินแดนหิมวานี้ ผมจึงอยากจะถามเกี่ยวกับต้นตระกูลของเราที่เป็นคนธรรพ์ต่ออีกหน่อย

“ป้อครับ แล้วคนธรรพ์ที่เป็นต้นตระกูลของบ้านเฮานี่ แต๊ก่อ”

“แต๊อิ๊ ตั้งแต่รุ่นพ่ออุ้ยปู่ปวดมาเมินเลาะ เป๋นชาวหิมวาตี้มาอาศัยอยู่โลกมนุษย์ แล้วก็เกิดลูกเกิดหลานจนสืบทอดวิชาดีดสีตีเป่ากันมา ถ้าไคร่ฮู้ว่าเป๋นเรื่องแต๊มอกใด ลูกก็ลองฝึกจิตถอดกายไปผ่อหื้อหันกับตาตั๋วเก่า”

นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผมจะได้ไปเล่าพูดคุยตอนไปอยู่กับอะตอมช่วงปิดเทอม ถ้าเราทั้ง 2 ครอบครัวมีเชื้อสายมาจากหิมวากันจริงๆ ผมอาจจะได้ตามรอยปู่ชวนกันไปที่หิมวา ไปเยี่ยมบ้านเกิดของนรุตม์กัน

 

อะตอมคือ 1 ในเพื่อนที่สนิทที่สุดของสินทราย โตมาด้วยกัน เล่นกัน ทะเลาะกันมาตั้งแต่วัยละอ่อน ด้วยนิสัยของอะตอมเป็นคนร่าเริง ขี้เล่น ช่างฝัน รักชีวิตที่ผจญภัยเขาต้องการเติมสีสันให้ชีวิตมีรสชาติ จึงมักจะชอบลองทำอะไรใหม่ๆเสมอ และในวันที่ต้องเรียนต่อในชั้นมัธยม ที่บ้านให้อะตอมไปสอบเข้าในกรุงเทพ และเขาสอบติดโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพ ถึงตัวจะไกลด้วยระยะทาง แต่ในโลกโซเชียลพวกเรายังใกล้กันเหมือนเดิม

ตือดึ่ง!!

“ไปต่างไดเหียละ บ่าถึงสักเตื้อ” เพื่อนยาก พูดถึงก็ส่งข้อความมาย้ำว่า ทำไมไม่ถึงสักที

“บะเมินเต้าใด ท่าสักกำเน่อ” ผมจึงตอบกลับไปว่าอีกไม่นาน ดูจาก GPS ก็ใกล้จะถึงแล้ว

พ่อขับรถสบายๆ พวกเราไม่รีบเร่งอะไร ก็ใช้เวลาเกือบๆ 10 ชั่วโมงได้ สินทรายชมวิวทิวทัศน์ตลอดทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่ได้รู้สึกว่ายาวนานเลยสักนิดเดียว ผิดกับอะตอมที่เฝ้ามองนาฬิกา เช็คข้อความ ทักมาตลอดทางว่าสินทรายถึงไหนกันแล้ว พ่อมาส่งสินทรายที่คอนโดของอะตอม พอลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทางก็เห็นด้านหน้าคอนโดตึกสูง ดูภายนอกสะอาด หรูหรา ท่าทางราคาเช่าคงแพงหูฉี่

 

ถึงแล้วก่อ กอยอยู่หั้นละ เสียงปลายสายฟังดูหอบเหนื่อย เดาได้ไม่ยากว่าอะตอมกำลังรีบร้อน ลงจากคอนโดเพื่อมารับ และไม่นานอะตอมในเสื้อคลุมฮูทตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นสีคุมโทน ลงมาช่วยแบกกระเป๋า เขายังร่าเริงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

“หวัดดัครับป้อ ขับรถมาอิดก่อครับ” อะตอมกล่าวทักทายพ่อของสินทราย

“ก็มีพ่อง จะไดก่อ พ่อฝากกอยผ่อสินทรายโตยเน้อ” พ่อฝากฝังให้อะตอมดูแลสินทรายก่อนขอตัวเดินทางไปพักที่โรงแรมเพื่อเข้าสัมมนาในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ สินทรายมีเวลาเที่ยวเล่นระหว่างรอพ่ออบรมถึง 4 วันเต็มๆ

“บะต้องห่วงครับป้อ เรื่องมอกอี๊บ่ะดายล่อ” อะตอมยิ้มกว้างอวดฟันขาวที่เรียงตัวตรงแหน่วหน้ากระดาน

สินทรายยังดูเรียบร้อยตามปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อ จนกระทั่งรถของพ่อค่อยๆ เคลื่อนออกไป สินทรายจึงค่อยๆฉีกยิ้มกว้างขึ้น หน้าตาดีใจ ทั้งสองต่างเก็บอาการไม่อยู่ กระโดดกอดคอกันไปยกนึงก่อนช่วยกันแบกกระเป๋าขึ้นห้อง

นั่งรถมาเมินแต้น้อ อิดต๋าง อะตอมอู้คำเมืองด้วยความคุ้นชิน เขารู้สึกเหนื่อยแทนเพื่อนที่ต้องนั่งรถมานานหลายชั่วโมง จึงอาสาพาไปกินของอร่อยเรียกกำลังหน้าคอนโด สินทรายเดินตามต้อยๆ คอนโดสูง 15 ชั้น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภาพโค้งน้ำตรงหน้าสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนใหม่อย่างสินทราย ระบบความปลอดภัยที่นี่ทันสมัยมาก ประตูเข้าออกผ่านได้ด้วยคีย์การ์ด แม้กระทั่งจะขึ้นลิฟท์ก็ต้องใช้คีย์การ์ด อะตอมแตะคีย์การ์ดที่หน้าจอเพื่อแสกนบาร์โค้ด จากนั้นจึงกดเลือกชั้นที่เขาอยู่ ไม่นานประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 3

หับ ผะตู๋ หื้อโตย อะตอมเปิดประตูเข้าห้องเดินนำเข้าไป สินทรายปิดประตูตามคำไหว้วานของเพื่อน สินทรายกวาดสายตามองรอบห้อง ห้องของอะตอมใหญ่ทีเดียว ถ้าจะให้เขาเปรียบเทียบก็คงใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านของเขา ระเบียงห้องก็มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำได้อย่างถนัดตา น่าอยู่ด้วยมาก จะติดก็เพียงอย่างเดียวคือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สังเกตได้ว่าอะตอมพยายามจัดเก็บไปแล้วบ้าง แม้ว่ามันจะถูกยัดเบียดเข้าไปในชั้นวางของ สินทรายพยายามมองหาพื้นที่ในตู้เสื้อผ้า เพื่อวางของเขาบ้าง ซึ่งก็ใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร อะตอมเห็นสีหน้าของสินทราย เขายิ้มเจื่อนเล็กๆ รีบไปจัดแจงดันกองเสื้อผ้าของตนไปกองไว้อีกมุมหนึ่งของตู้ ก่อนจะเอาของสินทรายไปวางแทนที่

ตั๋วอยู่คนเดียวอิ ห้องนี่ก่องามแต๊งามว่า กว้างโล่งโก๊ะ โล่งโก๋น สินทรายกลัวอะตอมไม่มั่นใจ เพราะปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบ หรือชอบจัดห้องมากนัก เลยชมห้องเขาสักหน่อย

งามแม่นก่อ อีป้อเปิ้นซื้อไว้หื้อเมินเลาะ ...เออ มาแอ่วจะอี้ ไปหาแอ่วตางใดดีหนา อะตอมบอกว่าคอนโดห้องนี้พ่อของเขาซื้อไว้ให้ แล้วเสนอตัวพาเที่ยว เพราะพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาไม่ต้องไปเรียน

ยังกึ๊ดบ่าออก ตั๋วจะพาเปิ้นไปตี้ใดก็ได้ เอ่อ..มีหยังหื้อจ่วยก่อ สินทรายตอบไปพรางๆเดินเข้าไปช่วยอะตอมขนกองหนังสือที่วางเกลื่อนและเก็บเสื้อผ้าเข้าตะกร้า เพื่อให้ห้องดูเรียบร้อยขึ้น นี่ถ้าสินทรายไม่มา ห้องของอะตอมคงไม่ได้จัดหรือทำความสะอาดอีกนานแน่ๆ อาจจะเป็นปี หรือไม่ก็หลายปีรู้ตัวอีกทีอาจจะเรียนจบแล้วแต่ห้องยังไม่เคยเก็บกวาดอย่างจริงจัง

ทั้ง 2 คุยกันอย่างยาวนานตามภาษาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน เผลอนิดเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปไกลมากแล้ว พระอาทิตย์ยามบ่าย นาฬิกาปลุกตั้งเวลาเตือนบอกเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง พร้อมข้อความบอกว่า

“บดินทร์ชกมวย” วันนี้สินทรายตั้งใจไปเชียร์บดินทร์ถ้าเป็นไปได้ แต่เขากลับลืมเวลาเสียสนิท เขาลืมแม้กระทั่งรับรายชื่อมนุษย์ที่ต้องเข้าฝันของวันนี้ แถมมาครั้งนี้ไม่ได้พักคนเดียวในห้องเสียด้วย แล้วเขาจะถอดจิตเอากายละเอียดไปยังไง 

หลังจากทั้งคู่ทานอาหารเย็นเสร็จ กลับขึ้นมาพักที่ห้องก็เกือบสองทุ่มพอดี แต่ดูเหมือนการพูดคุยของทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ บทสนทนาเป็นไปอย่างมีอรรถรส คุยกันจนดึกจนดื่น

สินทราย นี่หนา ผ้าตุ้ม สลี ตั๋วนอนนี่หนา อะตอมยกผ้านวมมาวางข้างๆ เตียง ด้วยใบหน้าที่สะลึมสะลือ ตาทั้งสองข้างนี่แทบจะลืมไม่ขึ้น จากนั้นก็มุดตัวลงผ้านวมของตัวเองหลับตาผลอย ปากขมุบขมิบคุยกับสินทรายพึมพำไม่ได้ใจความ สินทรายได้แต่กลั้นขำ แต่เมื่อเขาเห็นเพื่อนหลับไปแล้ว เขามองซ้าย มองขวาหาสถานที่ติดต่อกับนรุตม์เพื่อขอรายชื่อมนุษย์ที่ต้องไปเข้าฝัน ระเบียงห้องละกัน สินทรายค่อยๆดันประตูเลื่อน แล้วเบี่ยงตัวออกไปอย่างเบาเสียงที่สุด

“นรุตม์”

“ท่านอยู่มั้ย” สินทรายยืนรออยู่ริมระเบียง ทันใดนั้นเองเขาเหลือบไปเห็นใครบางคนเดินผ่านผ้าม่านด้านหลังเขา “ฝึ่บ!!!

“นรุตม์ ใช่ท่านรึป่าว”แต่ก็ไร้เสียงวี่แววใดๆตอบรับ นรุตม์คงไม่แกล้งเขาด้วยวิธีนี้หรอกนะ สินทรายได้แต่คิดในใจ  เขาเดินกลับเข้ามาในห้อง มองไปรอบๆ

“นรุตม์” เขาเอ่ยเรียกเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมา มีเพียงชายผ้าไหวๆ หายเข้าไปหลังประตูห้องน้ำสินทรายกลั้นใจเดินเพื่อไปดูให้แน่ชัด

แอ๊ดดดดดดดดดดด สินทรายค่อยๆ ดันประตูบานเลื่อนในห้องน้ำ เขาพยายามดันประตูให้เบามือที่สุด แม้ในใจอยากจะให้มันดังจนปลุกอะตอมให้มาอยู่เป็นเพื่อนกันก็ตาม เขาค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไป กวาดสายตามองโดยรอบ แต่ทว่าก็ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย

“นรุตม์ ท่านจะแกล้งผมแบบนี้ไม่ได้นะ” สินทรายรู้สึกกลัวมากขึ้น เขาพยายามดึงสติสัมปชัญญะ แล้วก็คิดได้ว่าที่นี่อาจจะมีวิญญาณหรือพลังงานบางอย่างซึ่งเขามักพบเห็นบ่อยๆ

เห็นบ่อยก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะหายกลัวซะทีเดียว เขากวาดสายตามองอย่างละเอียด และในที่สุดเขาเห็นว่าชัดแล้วว่า มีใครบางคนยืนอยู่ตรงปลายเตียงฝั่งที่อะตอมนอน สินทรายสัมผัสได้ถึงพลังงานที่คล้ายกับนรุตม์ จึงใจชื้นขึ้นมาบ้างว่าตรงหน้าที่เขาเห็นอาจจะเป็นนรุตม์ที่มาหยอกเล่นเขาก็เป็นได้ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนที่เขาจะทันได้ทัก คนคนนั้นก็หายวับไป ร่างของคนสูงโปร่ง ผมยาวสีทอง ซึ่งเขายังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่งกายนุ่งห่มด้วยชุดสีขาวสลับม่วง ลายกางเกงมีเลื่อมทองประดับ

วิ๊งงงง!!!

เห้ยยย ตกใจหมดเลย มาไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงตลอดเลยสินทรายเผลอบ่นนักเวทย์กายสิทธิ์ผู้พิทักษ์คู่กายของเขาที่โผล่มาระหว่างที่เขากำลังจะเปิดตู้เสื้อผ้าดูพอดี

หาอะไรอยู่หรอ นรุตม์ทักทาย

นรุตม์ เมื่อกี้ผมเห็นบางอย่างในห้องนี้ ใครบางคน หรือว่า...เอ่ออ อาจจะ...ไม่ใช่คน”

นรุตม์ทำหน้าเอือมระอาเล็กน้อย ก่อนจะยื่นแท็บเล็ตรายชื่อให้

“เลิกคิดมาก เจ้าน่าจะชินได้แล้ว นี่รายชื่อ รายชื่อมนุษย์เด้งขึ้นมาพร้อมระบุข้อความพอสังเขป

มนุษย์เพศหญิงวัย 19 ปี มีอาการนอนไม่หลับ กังวลการสอบเก็บคะแนนในมหาวิทยาลัย ขาดแคลนทุนทรัพย์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างห่างเหิน คนรักไม่มีเวลาให้ กำลังเตรียมการประกวดดาวคณะ มีนักเวทย์กายสิทธิ์สายครุฑเป็นผู้พิทักษ์ แต่ติดภารกิจที่เมืองหิมวา

“ฮะ นักเวทย์สายครุฑ!

“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก นักเวทย์สายครุฑถูกแล้ว” สินทรายทำหน้าฉงน เขาชักอยากรู้แล้วว่านักเวทย์กายสิทธิ์แห่งเมืองหิมวานั้นมีกี่สายกันนะ แล้วพวกเขาต้องปฏิบัติภารกิจอะไรกันบ้าง ถึงได้ยุ่งเหยิงไม่ว่างกันเสียจริง

“อย่าเพิ่งมัวสงสัยเลย รีบไปจัดการได้แล้ว” นรุตม์ดักทางความคิดของเขาไว้

“ท่านมีหน้าที่อื่นต้องรีบไปจัดการต่อ” สินทรายรู้ทันนรุตม์เช่นกัน เพราะดูท่า นักเวทย์ผู้พิทักษ์ที่ขยันที่สุด รับภาระของทุกเผ่าพันธุ์ทุกสายที่ไม่ว่าง ก็ฝากให้นรุตม์ช่วยดูแลให้ พ่อพระจริงๆ

นรุตม์อดยิ้มขำไม่ได้ที่ลูกศิษย์ย้อนเขาให้ซะแล้ว สินทรายนับถือหัวใจของนรุตม์มากๆ ที่เสียสละทำงานเต็มที่จริงๆ บรรดานักเวทย์ที่ลงมาพิทักษ์รักษามนุษย์มีปริมาณน้อยลงมากเมื่อเทียบกับภาระงานที่มากขึ้นแทบทวีคูณ นี่ถ้าตำแหน่งงานนักเวทย์ได้บำนาญหรือบำเหน็ดก้อนโต ไม่แน่นะอาจจะมีนักเวทย์พร้อมใจอาสาลงมาพิทักษ์รักษามนุษย์เป็นจำนวนมากโขก็เป็นได้

ผู้หญิงคนนี้ พักย่านบางเขน

ผู้พิทักษ์ของเขาเป็นน้องใหม่จึงมีการไหว้วานทำงานแทนจากรุ่นใหญ่อยู่เนืองๆ จนไม่มีเวลาปฏิบัติภารกิจหลัก จริงๆพวกนักเวทย์สายครุฑรุ่นใหญ่ๆเขามัวแต่จัดการนักเวทย์สายนาคน่ะ นรุตม์อธิบายเพิ่มเติม

“โห เชื่อเค้าเลย วัฒนธรรมการเอาเปรียบเด็กใหม่ ก็มีแหะ” สินทรายบ่นอุบแต่ก็กลัวใจนรุตม์จะโมโหเพราะเขาก็เป็นนักเวทย์รุ่นใหญ่  สินทรายรับปากนรุตม์เป็นดิบดีเพื่อให้นักเวทย์ผู้นี้สบายใจและสามารถไปปฏิบัติภารกิจอื่นๆ ได้เต็มที่ สินทรายนอนเหยียดตรง มือทั้งสองกุมประสานเหนือสะดือเล็กน้อย ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เกิดเป็นการกำหนดสมาธิ เขานิมิตรเห็นลำแสงเปล่งประกาย ปรากฏเป็นดวงแก้วกลมใส เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เขาพยายามเพ่งเข้าไปให้ใกล้ แต่ดวงแก้วเสมือนเคลื่อนห่างออกไป และเหมือนจะดับลง อาการสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เสียงกรุ้งกริ้งของกระพรวนจากสายข้อเท้า

“ลืมถอดได้ไงเนี่ย” สินทรายลุกขึ้นนั่ง ก้มตัวไปปลดตะขอสร้อยข้อเท้าอย่างเบามือ อะตอมเองก็ยังคงหลับสนิท เขาซุกสร้อยข้อเท้าไว้ที่ใต้หมอน แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ไม่นานก็ปรากฏดวงแก้วสกาวแสงรัศมีจากดวงแก้วห่อหุ้มกายละเอียดของเขาไว้ ทันใดนั้นเองดวงจิตสินทรายก็ได้แยกออกจากกายหยาบเรียบร้อยแล้ว

เขากำลังคลำทางของดวงจิตมนุษย์เพศหญิงเมื่อสักครู่อีกครั้ง แต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงอื่นแทรกมา

“ลุกขึ้นมาดิวะ นายต้องลุกได้แล้ว” เสียงเร่งเร้าจากใครบางคนที่คุ้นเคย นั่นคือเสียงของ..บดินทร์  

สินทรายไม่เข้าใจในเสียงที่ได้ยิน แต่ได้เห็นแสงสว่างของจิตที่ปลายทางเด่นชัด เขาก็ไม่รีรอใดๆ พุ่งตรงไปยังปลายทางทันที

เขาปรากฏกายในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่มีเพดานยกสูง รอบตัวมีผู้คนนั่งอยู่บนอัฒจรรย์ส่งเสียงดังโหวกเหวกจอแจ ร้องเชียร์สนั่นจนฟังไม่ได้ศัพท์ ที่นี่คือสนามมวยนั่นเอง สินทรายกวาดตามองโดยรอบ แล้วเขาก็เห็นบดินทร์นอนไม่ได้สติอยู่บนเวที  ท่ามกลางเสียงอึกทึกที่เชียร์ให้สู้ ทั้งข่มให้แพ้ของคนดู สินทรายไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เหมือนดวงจิตของบดินทร์สื่อสารขอความช่วยเหลือ สินทรายรับรู้ถึงความปรารถนาแห่งจิตนั้นว่าต้องการให้ช่วยดึงเขา ปลุกเขาให้ตื่น ใครก็ได้ช่วยฉุดเขาลุกขึ้นมาที

“10...9...8...7...6...” กรรมการและโฆษกตะโกนนับเลขเสียงดัง ทำให้สินทรายด่วนตัดสินใจ ทั้งๆที่เดิมทีเขาออกจะเป็นคนเชื่องช้า คิดช้า ทำช้า แต่ภาพของบดินทร์ตรงหน้า กับการพยายามร้องขอคนช่วย สินทรายจึงเพ่งจิตเพื่อสื่อถึงบดินทร์ ดลจิตให้เขานึกถึงภาพการต่อสู้ การเหวี่ยง การชก การหลบหลีกอย่างมีชั้นเชิง เสมือนตอกย้ำลงไปในจิตใต้สำนึกของบดินทร์ว่า ครั้งนี้เขาจะชนะ ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างปรากฏในใจของบดินทร์ผ่านเพลงบรรเพลงของดนตรีด้วยมนต์เพลงเยียวยาเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง ความร้อนในร่างกายแผ่ซ่าน รอยเส้นเลือดแตกแขนงตามแขนและขาเห็นได้ชัดเจนขึ้น มัดกล้ามเนื้อบีบตัวแน่นเหมือนสูบพลังงานมาเต็มเปี่ยม หัวใจที่เต้นแรงสูบฉีดเพิ่มพลังงานไปทั่วทุกอณูของร่างกาย

บดินทร์ นายทำมันได้อีกครั้งแน่นอน สินทรายสื่อสารกับดวงจิตของบดินทร์

“เราจะนับ 1 ถึง 3 นายต้องตื่นขึ้นมาอย่างเต็มศักยภาพ!!!” 

“ขอสื่อสารตรงกับจิตใต้สำนึก”

นับ 1 ขอให้ระบบประสาทของนายตื่นตัว รับรู้ถึงพลังกายดุจพญาเสือที่พร้อมกระโดดขย้ำ”

“นับ 2 หายใจเข้าลึกสูบฉีดไปทั่วร่าง ทำให้ตัวนายเบาหวิวดุจขนนก”

“นับ “1 - - - “2” - - - “3 ลุกขึ้นมาลุยกับมันเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!” 

 

สิ้นเสียงของสินทราย  บดินทร์ลืมตาขึ้น เม้มปาก กำมือแน่น ขาของเขาตั้งรับน้ำหนักตัวที่ตอนนี้สัมผัสถึงความสดชื่น เขาสะบัดแขนขา และหัวให้ผ่อนคลาย ดวงตาทั้ง 2 ของเขาจ้องมองคู่ชก เหมือนกับว่าคราวนี้จะเอาคืนเป็น 2 เท่า แก้มือที่เมื่อกี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“กรึก! แกรก!” เสียงกระดูกสะบักเคลื่อนตัวจากท่ากายบริหารของดิน

“...เฮือกๆๆ” เสียงหอบเล็กน้อยของเขากำลังรวบรวมลมปราณให้สู้อย่างมีสติอีกครั้ง เขารับรู้ว่ากำลังวังชาที่ได้มานี้ มาพร้อมกับเสียงดนตรีและคำพูดจากเจ้าผีน้อยที่ปรากฏตัวข้างๆเขา

บดิทร์มีท่าทางที่คล่องตัวกระฉับกระเฉงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาดุจดั่งเสือโคร่งที่พร้อมกระโจนขย้ำเหยื่อ เขาพุ่งตัวก้าว 1 ขา แล้วซอยหมัดซ้ายสลับขวาชกคู่ต่อสู้ พออีกฝ่ายรุกเข้ามาก็หลบหลีกได้ไวอย่างคล่องตัว บรรดากองเชียร์ถึงกับเหวอไปเลยว่าเอาเรี่ยวแรงกลับมาจากไหน เมื่อครู่เพิ่งโดนต่อยน่วมไปเอง

“นี่มันเวทีท้าต่อยเจ้าบ้านนินา” สินทรายอุทานเบาๆ เพราะมองไม่เห็นเลยว่าใครในนี้กำลังเชียร์บดินทร์อยู่ นอกจากตนเอง

บดินทร์ย่างสามขุมตรงไปยังคู่ต่อสู้ ยิงหมัดซ้ายสลับขวาชกรัวๆ อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ติด ได้แต่ถอยร่นหลบหลีกหมัดอันหนักหน่วงของบดินทร์ จากนั้นเขาไม่ยั้งมือ ทยานจู่โจมเข้าด้วยหมัดตัด เหวี่ยงโค้งเป็นครึ่งวงกลมโดยเล็งไปที่ลำตัวบ้าง ใบหน้าบ้างสลับกับการหลบหลีกเป็นจังหวะ จนอีกฝ่ายโมโหหายใจเข้าออกรุนแรง สวนเขากลับในจังหวะทีเผลอด้วยหมัดเสย ปลายคางของดินถูกคู่ชกใช้หมัดเสยขึ้น โชคดีที่ตั้งสติทัน แต่ก็เจ็บพอตัวเพราะโดนแบบเฉียดๆ

คู่ต่อสู้ตั้งหลักถอยตัวมาจนติดเชือกกั้นเขตเวทีอย่างจนมุม แต่ไม่ทันได้คิด บดินทร์ฮุกเข้าใต้กรามอย่างจัง ภาพตรงหน้าเลือนลางไปชั่วขณะ มีสะเก็ดดาวระยิบระยับเต็มไปหมด กรรมการเข้ามาคั่นกลาง เรียกสติอยู่ไม่กี่คำ เมื่อตั้งสติได้จึงตั้งหลักชกต่อ บดินทร์ไม่รอช้าถือโอกาสกำลังได้เปรียบ คู่ต่อสู้กำลังเมาหมัด เขาสาวเท้าเข้าตรงดิ่ง หมายทำคะแนน แต่ความใจร้อนเกินโดนชกเข้าที่หน้า แต่บดินทร์ใช้มือกันไว้ได้ทัน แล้วก็ใช้จังหวะนี้ตอบกลับทันที จนหมัดที่ชกไปทำเอาอีกฝ่ายเซ

อีกฝ่ายพยายามหลบหลีกแต่ก็ไม่ทัน เจอหนุมานถวายแหวนของบดินทร์เต็มคาง หงายหลังล้มตึงอย่างดังคาเวที บรรดากองเชียร์ถึงกับอ้าปากเหวอค้างไปเลย

เป๊งงง!!!เสียงระฆังช่วย ทั้งสองแยกเข้ามุมเพื่อให้พี่เลี้ยงให้น้ำ บดินทร์เองก็พัก และทบทวนชั้นเชิงกับพี่เลี้ยงคู่บุญ สินทรายเองก็ลุ้นตัวโก่ง เพราะรอบหน้าเป็นรอบสุดท้ายแล้ว และคะแนนดันสูสีกันอยู่

“รอบสุดท้าย นายต้องทำได้นะ” พี่เลี้ยงคู่บุญให้ความมั่นใจแก่บดินทร์ ก่อนที่จะปล่อยเขาออกสู่สังเวียน สินทรายเหลือบหันไปเห็นคู่ชกของบดินทร์กำลังใส่นวมเตรียมขึ้นชกเช่นกัน

“น๊อคจุดตายให้ได้อีกครั้ง งานนี้ห้ามพลาด”

“ข้าเล่นข้างเอ็งไปเยอะ” ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ๊ตฮาวาย ใส่สร้อยทองเส้นเบ้อเริ่มกระซิบกระซาบอยู่กับคู่ชกฝั่งตรงข้าม สินทรายได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน คำว่าจุดตาย ทำเอาหน้าสินทรายถอดสี เขารู้ทันทีว่ามันต้องมีการตุกติกแน่ๆ

“เป๊ง!!!” เสียงระฆังให้เริ่มชกอีกครั้ง เช่นเคยบดินทร์ตรงดิ่งรุกเข้าหาทันที ฝ่ายตรงข้ามยังคงหลบหมัดหาจังหวะอย่างมีสมาธิมากขึ้น ออกหมัดน้อยลง มักจะตั้งการ์ดเสียส่วนใหญ่ เขายังคงเป็นฝ่ายตั้งรับบดินทร์ เขาพยายามหามุมที่บดิทร์บังสายตากรรมการให้มากที่สุด เขาเอี้ยวตัวต่ำ ยกการ์ดสูง เมื่อบดินทร์สวนมาจึงหลบได้ทันที ฝ่ายตรงข้ามย่อตัวเล็กน้อย จากนั้นดีดตัวขึ้นพร้อมฮุกหมัดตรงเข้าจุดทัดดอกไม้อย่างเต็มแรงอีกครั้ง อีกนิดเดียวเท่านั้นเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมที่บดินทร์เกือบถูกน๊อคอีกครั้ง

ฝั่งตรงข้ามฮึดแรงเหวี่ยงหมัด เหวี่ยงศอกรุกกระหน่ำจนบดินทร์เซ

“โป๊กกก !!” จนได้ แรงชกเข้าซัดเต็มเหนี่ยวจนบดินทร์เซแทบล้ม สินทรายเห็นเข้าก็ร้องตกใจ

“เห้ยย!!!” สินทรายตะโกนร้อง นี่คงเป็นทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ หน้าที่ผู้พิทักษ์มีไว้เพียงช่วยดลจิตบันดาลใจ ไม่สามารถใช้ทำร้ายมนุษย์คนอื่น

บดินทร์ตั้งตัวหันหน้ากลับ ก็โดนหมัดชกกลับมาอีกรอบ เซซ้ำชัดไปอีกครั้งจนมือไปแตะคว้าเอาที่เส้นเชือกกั้นสังเวียน บริเวณที่สินทรายยืนอยู่พอดี

สินทรายจึงเอนตัวเกือบจะหล่นลงสังเวียน เพื่อหนีร่างใหญ่ของดินซึ่งตอนนี้โน้มตัวมาที่เขาแบบแนบชิดติดกัน ดวงตาทั้ง 2 ประสานกันพอดี เสี้ยววินาทีนึงสินทรายคิดว่าบดินทร์มองเห็นเขาแน่ๆ เขาจึงเม้มปากชูมือกำปั้นบอกผ่านสายตาให้บดินทร์ว่า “สู้ๆ” แม้ว่าเขาจะเห็นตัวเองหรือไม่เห็นก็ตาม

บดินทร์หายใจเข้าลึก ดวงตามุ่งมั่นยังไม่ยอมแพ้ หันกลับไปกระโดด 2-3 ที สลัดคอและแขน จากนั้นไม่ทันไร อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาที่เขาเอง จนเขาหักหลบเอี้ยวตัวไปด้านข้าง

สินทรายเห็นเช่นนั้น เข้าใจเลยว่าคู่ต่อสู้จงใจใช้หมัดเข้าซัดตรงจุดตาย เพราะเขาเล็งบดินทร์ตรงรอยต่อของกระโหลกศีรษะทั้งสามแผ่น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นจุดอันตรายมากเพราะเป็นจุดเปราะบางที่สุด หากโดนกระแทกด้วยของแข็งอย่างแรง อาจเสียชีวิตได้เลยทีเดียว จุดนั้นก็คือ จุดทัดดอกไม้นั่นเอง!

หลังจากบดินทร์เอี้ยวตัวหลบทัน คู่ต่อสู้ก็พุ่งเข้ามาที่เขาอีกครั้งในตำแหน่งเดิม ซึ่งบดินทร์ก็เอี้ยวตัวหลบไปด้านข้างอีกเช่นเคย เป็นครั้งที่สอง บดินทร์จับทางคู่ต่อสู้ได้ เขาคาดการณ์ว่าถ้ามาแบบบนี้ หมายเอาถึงตาย เขาจะต้องสับขาหลอก ซึ่งก็จริงตามคาด คู่ต่อสู้ไม่ลดละ หมายใจจะชนะให้เร็วก่อนเสียงระฆังหมดเวลา พุ่งใช้หมัดซัดตำแหน่งเดิม คราวนี้บดินทร์ทำยึกยักจะเอี้ยวตัวเบี้ยงขวาไปด้านข้าง แต่ไม่ทันไร เขาสลับขาก้มต่ำเบี้ยงตัวไปทางซ้ายแทน คู่ต่อสู้ตัวใหญ่เคลื่อนที่ช้าไป 1 จังหวะ กำลังหันกลับมาซัดบดินทร์

แต่บดินทร์เร็วกว่า ใช้จังหวะนี้กำกำปั้นทุบไปที่ท้ายทอย พลิกตัวตั้งท่า ถีบยันด้วยปลายเท้าโดนข้างลำตัวอย่างจัง จนอีกฝ่ายเซ จากนั้นหมุนตัวไปอีกทางจนอีกฝ่ายมองไม่ทัน กระหน่ำด้วยศอกในท่าศอกกลับ หมุนตัวดั่งลูกข่าง 1 รอบแล้วแล้วใช้ศอกตัดสัญญาณดับสติ แต่ศอกกระทุ้งลงไปโดนที่ไหล่แทนอีกฝ่ายจึงได้แค่เซล้ม

ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นนักมวยที่มีความอึดกว่ามาก บดินทร์จึงลองเชิง ลองเป็นฝ่ายตั้งรับดูบ้าง หลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามรุกดูบ้าง เขาแย่บๆ ปัดป้องหมัดเบาๆ จนฝ่ายตรงข้ามรุกหนักซัดหมัดตรงมาอย่างรุนแรง บดินทร์ลดการ์ดและใช้หมัดตัด เหวี่ยงโค้งเป็นครึ่งวงกลมโดยเล็งใส่หมัดของคู่ต่อสู้ แทนที่จะเป็นจุดนับคะแนน

“ตุ๊บ!” แรงหมัดกระแทกอย่างจัง หมัดคู่ต่อสู้หมุนเคว้งไปอีกฝั่ง บดินทร์รู้ทันทีว่ามีของแข็งอยู่ภายใต้นวม

“แมร่งงง โกงกันนี่หว่า” บดินทร์พึมพำกับตัวเอง

“โกงจริงๆนะ” สินทรายเสริมทัพ เพราะเขาแอบไปเห็นพี่เลี้ยงฝ่ายตรงข้ามซุกนวมเก่าไว้ในกระเป๋ากีฬา

ในขณะที่สินทรายกำลังครุ่นคิดวิธีอยู่ ก็เห็นเหมือนมีใครยืนอยู่ไกล้ๆ เขายืนสงบนิ่ง มีลำแสงส่องประกายทั่วร่าง หรือว่าคนคนนั้นอาจจะเป็นเทวาผู้พิทักษ์ของนักมวยคู่ต่อสู้

มนุษย์ทุกคนมีผู้พิทักษ์ จริงสิ สินทรายมองไปที่ผู้พิทักษ์คนนั้น แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า

“ข้าขอโทษพวกเจ้าด้วย ต่อไปนี้ให้ข้าจัดการเองเถอะข้าคือเทวาพิทักษ์ของเด็กคนนี้” เสียงนิ่งเรียบดังขึ้นในโสตประสาทของสินทราย ทันใดนั้นเองเกิดแสงละอองมณีชั่วขณะ เขาดลจิตมนุษย์ผู้นั้นให้ละอายใจ จนแว๊ปนึงในความคิดของเจ้าตัวตัดสินใจปลดเชือกนวมให้หลวมๆ

ทั้งคู่แลกหมัดกันไปมา บดินทร์สังเกตได้ว่านวมของคู่ต่อสู้เริ่มหลวมใส่ไม่ถนัดมือ เขาใช้จังหวะนี้ทำเป็นเสียที คู่ต่อสู้ไม่ทันเอะใจ ต้องการรีบจบเกมจึงตกหลุมพรางทันที เขาเหวี่ยงหมัดไปทางด้านข้างหมายจะกระแทกเข้าไปยังจุดทัดดอกไม้นั้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามดังใจคิด บดินทร์ย่อตัวก้มต่ำ เสยหมัดทั้งสองเข้าที่ลิ้นปี่อย่างจัง แรงกระแทกทำให้ร่างของคู่ต่อสู้ลอยขึ้น แรงเหวี่ยงหมัดก็กระชากร่างพุ่งไปตกเกือบหลุดเวที นวมเจ้าปัญหาลอยละลิ่วหลุดไปยังโต๊ะกรรมการ ฟันยางกระเด็นลอยเคว้งไปอีกทิศ

“ตุ๊บ” - - - “ตุ๊บ” เสียงร่างและนวมหล่นกระแทกพื้นอย่างจัง กรรมการต่างตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า และหนึ่งในกรรมการกำลังก้มหยิบนวมใต้เก้าอี้คนดู ก็พลันไปเห็นกระเป๋ากีฬาสีดำที่ซิปถูกเปิดอ้าไว้อย่างกว้างๆ ทำให้ความจริงทุกอย่างได้เปิดเผย นวมชกของฝ่ายตรงข้ามมีสองชุด อันที่ใส่ขึ้นชกมีก้อนเหล็กหนักเกือบๆ สองโลอยู่ภายใน ทำให้เกมการชกในครั้งนี้บดินทร์ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย คู่ต่อสู้ก็ถูกปรับแพ้ และถูกแจ้งข้อหาไปโดยปริยาย

“เป๊ง!! กรรมการยกมือของดินขึ้น และประกาศให้เขาได้รับชัยชนะ

บดินทร์ยังคงเป็นชายหนุ่มสู้ชีวิตที่ไปไหนมาไหนคนเดียว ที่ตอนนี้เขาก็เข้าไปที่ห้องล็อคเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับนักกีฬาต่อยมวย ในขณะที่นักชกคนอื่นๆ มีทั้งพี่เลี้ยง ทั้งครอบครัวคอยซับเลือดให้ มีแฟนมาคอยประคบดูแลทายาตรงใบหน้าที่ฟกช้ำให้ แต่พอหันกลับมามองดูสายตาของบดินทร์ผู้ที่เพิ่งได้รับชัยชนะแต่ทำไมดูแล้วช่างรู้สึกเห็นใจจนสัมผัสได้ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่มีใครมาคอยเคียงข้างแบบนี้ ไม่ได้การสินทรายจึงถือโอกาสพยายามช่วยดูแล แม้รู้ตัวดีว่ากายละเอียดโปร่งแสงของตนจะทำอะไรพวกนี้ไม่ได้มากก็ตาม แต่ต้องทำอะไรสักอย่าง บดินทร์จะได้ไม่รู้สึกแย่

ในห้องล็อคเกอร์บดินทร์ใช้เวลาสักพักอาบน้ำและเดินออกมาแต่งตัวก็พบว่าสินทรายในร่างกายละเอียดโปร่งแสงนั้น นั่งรอเขาอยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้ากระจก ซึ่งบดินทร์ก็ยังเก๊กทำหน้านิ่ง มองไม่เห็นต่อไป ส่วนสินทรายก็นั่งดูเขาตลอดเวลาในความเข้าใจเหมือนเดิมว่าบดินทร์คงมองไม่เห็นตนเอง เขานั่งจ้องดูนักมวยเหรียญรางวัลกำลังเช็ดหัว เป่าผม สินทรายจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วหาผ้าเช็ดหน้าให้ซับ

“อ่านี่” พอมือเรียวๆของสินทรายหยิบไปที่ผ้า ผ้าแม้นิดก็ยังไม่กระดิกด้วยซ้ำ แต่ก็ยังทำท่ายื่นให้บดินทร์

“เอาสำลีแคะหูหรอ”   “อ่านี่”   “เห็นไหม นายก็มีคนคอยดูแลเหมือนกัน

สินทรายพูดคนเดียว ซึ่งบดินทร์เองก็ได้ยินทุกอย่าง เขาจึงนั่งที่เก้าอี้หน้ากระจกแล้วดูรอยช้ำที่หน้า จากนั้นเอานิ้วชี้แตะเบาๆ

สินทรายก็ “อ๋อออ ประคบร้อนหรอ หรือเอ๊ะประคบเย็น” จากนั้นเขาก็เอามือไปแนบแตะที่ใบหน้าของบดินทร์ช้าๆ นายดินเห็นแบบนั้นจึงร้องแกล้ง “โอ๊ยยย!!” ทำเอาสินทรายรีบเก็บมือหุบหนีพร้อมหน้าตาตื่น

สินทรายทำหน้าสงสัยงงงวย ยกมือทั้ง 2 ของตัวเองมาดู มันก็ยังโปร่งแสงมองเห็นทะลุอยู่ เลยลองเอามือสัมผัสที่ขวดน้ำใกล้ๆก็ยังหยิบไม่ได้เช่นเคย “แล้วทำไมเมื่อกี้นายดินจึงร้องล่ะ ไม่ได้โดนสักหน่อย”

“...” บดินทร์เห็นทีท่าเช่นนั้นก็แอบยิ้ม แล้วก็มองไปที่กระจก รู้สึกอบอุ่นใจเหมือนคนที่มีผู้ที่คอยมาดูแลจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่สินทรายทำจะมีประโยชน์ขนาดนี้

สินทรายจึงนึกบางอย่างได้ ลองตั้งจิตนิ่งๆแล้วอมลมเข้าปาก ทำแก้มป่อง เพื่อหวังจะทำอะไรสักอย่างช่วยให้บดินทร์อาการทุเลา ด้วยความไม่รู้หรอกว่าต้องใช้คาถาบทไหน ต้องทำยังไง แต่ด้วยความที่เคยเห็นพ่อทำตอนรักษาผู้ป่วย จึงใช้ลมจากปากเป่าออกไปแบบแผ่วเบา กระทบบางๆตรงโหนกแก้มที่ช้ำห้อเลือดของบดินทร์พอดี

“เพี้ยงงงง!! จงหาย” รอยลมอุ่นๆจนบดินทร์สัมผัสได้ ทำให้เขาอมยิ้มกว้างขึ้น อย่างกับว่ามันได้ผล

“เพี้ยงงงง!! จงหาย” สินทรายบรรจงเป่าลมต่อไปยังบริเวณด้านข้างลำตัวของบดินทร์ที่มีรอยฟกช้ำ

.!!!!!!!!” บดินทร์สะดุ้งเล็กน้อย ขณะที่มีเสียงของชายคนนึงพูดขึ้น แล้วเดินเข้ามาหาเขา

“มีเงินจ่ายค่าห้องยาวๆ หลายเดือนละทีนี้” พี่เลี้ยงคนที่ดูแลเขาที่สังเวียนมีสีหน้ายินดี ยื่นซองเงินให้แล้วตบไหล่เขาก่อนเดินจากไป “ขอบคุณครับพี่ ที่ให้โอกาสผมรับงานนี้” “เอ้อๆ ไม่เป็นไรมึง กลับบ้านดีๆ”

5 ทุ่ม!!!” สินทรายสะดุ้งโหยง นึกขึ้นได้ว่าเขาต้องไปพิทักษ์ฝันของผู้หญิงคนที่นรุตม์มอบหมายไว้ เขารีบลุกลี้ลุกลนก่อนจะหายวับจากไป บดินทร์ได้แต่ขำตัวเอง ถ้าไม่เคยเจอผีมาก่อน ก็คงตกใจเพราะคิดว่าเป็นผีหลอกแน่ๆ เขาเอี้ยวตัวไปหยิบสัมภาระและก็ต้องแปลกใจที่อาการปวดร้าวตรงสีข้างลำตัวนั้นหายไป เขาถกชายเสื้อขึ้นมาแล้วส่องกระจกดู รอยช้ำได้หายไปแล้ว

“นี่มันบ่นเป็นคาถาหรอเนี่ย ฮ่าๆ” บดินทร์หัวเราะเมื่อคิดถึงคำบ่นของสินทรายเมื่อสักครู่

 _______________________________________________________________________________________

    "อ่านจบตอนนี้แล้ว เป็นยังไงบ้าง ฉากต่อยมวยผู้เขียนไม่ได้อิงหลักการว่าเป็นกติกามวยไทยหรือสากล เพราะฉะนั้นหากมีข้อเสนอแนะ ยินดีมากๆ อย่าลืมแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ"

https://www.facebook.com/TheHIMVA

แชร์บทความนี้
เขียนโดย วัลลภ ชูชาติ
ทุกคนสามารถทำได้ทุกอย่างบนโลก ถ้าเอาจริง

บทความล่าสุดในหมวดหมู่เดียวกัน

ความคิดเห็น